ขอขอบคุณข้อมูลจาก arip

วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Internet Protocol Version 6 (IPv6)



ระบบเครือข่ายและความมั่นคง
Internet Protocol Version 6 (IPv6)
Internet Protocol รุ่นใหม่ขึ้น นั่นก็คือ Internet Protocol รุ่นที่ 6 (IPv6) เพื่อแก้ปัญหา Internet Protocol รุ่นที่ 4









การเติบโตอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี เครือข่ายอินเทอร์เน็ตตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 มีผลต่อประสิทธิภาพของเทคโนโลยีนี้ในปัจจุบันเป็นอย่างมาก นั่นคือจำนวนหมายเลข  Internet Protocol รุ่นที่4 (IPv4) ที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบันนั้นมีจำนวนจำกัดและกำลังจะถูกใช้หมดไป ดังนั้นคณะทำงาน IETF (The Internet Engineering Task Force) จึงได้พัฒนา Internet Protocol รุ่นใหม่ขึ้น นั่นก็คือ Internet Protocol รุ่นที่ 6 (IPv6) เพื่อแก้ปัญหาข้อจำกัดเหล่านี้  โดยปรับปรุงโครงสร้างของตัว Protocol  ให้รองรับหมายเลข IP address จำนวนมาก  และปรับปรุงคุณลักษณะอื่นๆ  เช่น ความปลอดภัย การรองรับแอปพลิเคชันใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และการเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลแพ็กเก็ตให้ดีขึ้นอีกด้วย

คุณสมบัติของ IPv6 ที่เหนือกว่า IPv4
IPv6 มีคุณสมบัติที่เหนือกว่า IPv4 มากมาย ซึ่งสามารถสรุปคร่าวๆ ได้ 5 หัวข้อ ได้แก่ เรื่องการกำหนดแอดเดรส (Addressing), การปรับแต่งระบบ (Configuration), การรับส่งขอมูล (Data Delivery), การค้นหาเส้นทาง (Routing) และความปลอดภัย (Security) ซึ่งรายละเอียดแสดงในตารางที่ 1
หัวข้อ ข้อดีของ IPv6 ทำไมถึงมีความสำคัญ
การกำหนดแอดเดรส

(Addressing)
IPv6 มีขนาดของ address คือ 16 ไบท์ ซึ่งมากว่า IPv4 ที่มีขนาดเพียงแค่ 4 ไบท์  นั่นหมายถึง IPv6 สามารถมีจำนวน address ได้มากถึง 3.4x10 หมายเลข เมื่อเปรียบเทียบกับ IPv4 ที่มีแค่เพียง 4.2x10  หมายเลข จำนวนหมายเลขของ  IPv4 ที่เหลืออยู่กำลังลดลงอย่างเร็ว นำไปสู่การใช้งานที่ซับซ้อนและไม่มีประสิทธิภาพในการทำ address translation เพื่อสร้าง IP เพิ่มขึ้นมาใช้ในภายใน
การปรับแต่งระบบ

(Configuration)
IPv6 สนับสนุนการปรับแต่งระบบแบบอัตโนมัติ (automatically configuration)  ซึ่งขจัดความจำเป็นในการกำหนด IP address แบบตายตัว (Static Address) หรือการจัดสรรหมายเลข IP address แบบเป็นครั้งคราว เช่น DHCP (Dynamic Host Configuration Protocol) การจัดการกับหมายเลข IPv4 ที่หลากหลายของเครื่องลูกข่ายภายในองค์กรนั้นจะเป็นแบบ Manual ซึ่งเป็นการสร้างความยุ่งยากลำบากในการดูแลจัดการ  ดังนั้น IPv6 ซึ่งสนับสนุนautomatically configuration  สามารถที่จะขจัดปัญหาและความจำเป็นเหล่านี้ได้
การรับส่งข้อมูล

(Data Delivery)
IPv6 มี field ของ header ใหม่ ซึ่งเป็นส่วนที่ต้องใช้ในการประมวลผลแพ็กเก็ต และข้อมูลส่วนนี้จะใช้ในการจัดลำดับ priority ของ traffic และรับประกันคุณภาพของบริการ (QoS) ในการส่งข้อมูลมัลติมีเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนั้น ความเร็วและความเชื่อถือได้ของ IP packets เป็นสิ่งที่สำคัญ  ซึ่งการจัดลำดับ priority เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพภายในโครงสร้างเครือข่ายได้
เส้นทาง

(Routing)
การเคลื่อน IPv6 packet จาก segment หนึ่งไปอีก segment หนึ่งมีความง่ายขึ้นด้วยโครงสร้างการค้นหาเส้นทางแบบลำดับชั้น (hierarchical routing structure) เส้นทาง (routing) ภายใต้ IPv4 เป็นการจัดลำดับเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น (partially hierarchical) ทำให้ตารางเส้นทาง (routing table) มีขนาดใหญ่และยาวมากซึ่งอาจจะมากกว่า 70,000 entries แต่เส้นทาง (routing) ภายใต้ IPv6 นั้นจะมีขนาดของตารางเส้นทางที่เล็กเนื่องจาก overhead ที่จำเป็นต้องใช้ในการประมวลผลที่เราเตอร์มีขนาดน้อยกว่า นอกจากนี้มันยังมีประสิทธิภาพมากกว่าด้วย
ความปลอดภัย

(Security)
แต่เดิมมาตรฐานความปลอดภัยของ IP (IP security standard, IPSec) ถูกกำหนดแค่เป็นตัวเลือกบนพื้นฐานของ IPv4 แต่ปัจจุบันมาตรฐานนี้จะถูกกำหนดเป็นตัวบังคับบนพื้นฐานของ IPv6 ในเรื่องของความปลอดภัยจะต้องมีมาตรฐานในการรักษาความ ปลอดภัย และต้องยึดเป็นมาตรฐานเดียวกันในการใช้ดำเนินการสื่อสารผ่านทางเครือข่าย internet

ตารางที่ 1:  ข้อดีของ IPv6 ที่เหนือกว่า IPv4 (แหล่งที่มา: Microsoft, 2000)

การปรับเปลี่ยนระบบเครือข่ายจาก IPv4 สู่ IPv6

เทคนิคการทำงานร่วมกันระหว่าง IPv4 และ IPv6 แบ่งออกเป็น 3 เทคนิค คือ การใช้งาน IPv4 และ IPv6 ควบคู่กัน หรือที่เรียกว่า Dual stack ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้อย่างแพร่หลายมากที่สุดในปัจจุบัน เทคนิคต่อมา คือ การทำอุโมงค์ (Tunneling) ซึ่งเป็นการสร้างท่ออุโมงค์ในการรับส่ง IPv6 ผ่านไปบนเครือข่าย IPv4 และสุดท้าย การแปลงข้อมูล (Translation) จะเป็นการแปลง Header ของ IP Packet จาก IPv6 เป็น IPv4 หรือจาก IPv4 เป็น IPv6 ซึ่งการเลือกใช้แต่ละเทคนิคต้องดูถึงความเหมาะสม และลักษณะการใช้งานของเครือข่ายที่มีอยู่

ทั้งนี้หากการปรับเปลี่ยนเสร็จสมบูรณ์  โดยเครือข่ายต้นทางและปลายทางเป็นการใช้งาน IPv6 ทั้งหมด (ปราศจาก IPv4) เราเรียกการเชื่อมต่อลักษณะนี้ว่า IPv6-native network

อุปกรณ์ที่สนับสนุน IPv6

เนื่องจากจำนวน IP address ของ IPv6 นั้นมีมากมาย  อุปกรณ์ต่าง ๆ จึงสามารถที่จะมีหมายเลข IP address ของตัวเองทำให้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ อีกทั้งประสิทธิภาพและข้อดีต่าง ๆ ของ IPv6 จะทำให้เกิดโปรแกรม อุปกรณ์ และการใช้งานใหม่ๆ ขึ้นมาอีกมากมายในอนาคต อาทิเช่น Mobile IPv6, 3G Mobile Broadband, Mobile IP Broadcast, VoIP, P2P Game เป็นต้น แม้กระทั่งอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านก็จะมี IP address ประจำทำให้แยกแยะและควบคุมได้  เกิดเป็นเครือข่ายภายในบ้าน (Home Network) เช่น ควบคุมการเปิด-ปิดอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านผ่านเครือข่ายอิน เทอร์เน็ต โทรทัศน์ในอนาคตจะเป็นแบบ interactive คือ สามารถโต้ตอบกับผู้ชมได้  สัญญาณกันขโมยสามารถที่จะส่ง real-time IPv6 packet ไปแจ้งตำรวจหรือสายตรวจที่อยู่ใกล้บ้านเราที่สุดได้  อีกตัวอย่าง คือ Internet Car โดยการใช้ IPv6 ร่วมกับ GPS เพื่อบอกตำแหน่ง เนื่องจากประสิทธิภาพการใช้ GPS ในเมืองจะต่ำเพราะตึกสูงๆ จะบังสัญญาณ ดังนั้นการใช้ร่วมกับ  wireless/mobile Internet จะดีกว่า ตัวอย่างสุดท้าย เป็นการใช้งานโดยการติดตั้งกล้อง Surveillance IPv6 camera เพื่อดูแลความปลอดภัยหรือดูสภาพการจราจร กล้องเหล่านี้สามารถเป็น Server ได้ในตัว เก็บข้อมูลได้และติดต่อกันได้โดยตรงเนื่องจากมี IP address จริงเป็นของตัวเอง เป็นต้น

สถานการณ์ความเคลื่อนไหว

สถานการณ์ในประเทศไทย
ในส่วนสถานการณ์ในประเทศไทย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิคส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) นับว่าเป็นผู้นำในการให้บริการเชื่อมต่อเครือข่าย IPv6 กับต่างประเทศผ่านการทำ IPv6-over-IPv4 tunnel และการทำ 6to4 relay นอกจากนี้ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิคส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติยังได้รับความ ร่วมมือจากหลายมหาวิทยาลัยและบริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ทำให้เกิดเครือข่าย IPv6 เพื่อการทดสอบภายในประเทศ (Thailand IPv6 Testbed) ซึ่งมีการเชื่อมต่อด้วยเทคนิคที่หลากหลาย  ขณะนี้มีบริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตที ่ได้ทำการเชื่อมต่อกับเครือข่ าย IPv6 ทั้งในและนอกประเทศแล้ว 6
บริษัท คือ CAT, AsiaInfonet, CS-Loxinfo, JI-Net, Samart และ Internet Thailand 

ในปัจจุบันได้มีการก่อตั้งคณะทำงานระดับประเทศขึ้นภายใต้ชื่อ Thailand IPv6 Forum หรือ โครงการความร่วมมือพัฒนาและส่งเสริมการใช้เครือข่าย IPv6 ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานวิจัย ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตและผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่าย Hardware และ Software ระบบเครือข่าย ซึ่งกิจกรรมในปัจจุบันของ Thailand IPv6 Forum ได้แก่ การเข้ าร่วมเป็นสมาชิกของ Asia-Pacific IPv6 Task Force และการเชื่อมต่อแบบ Native IPv6 ภายในประเทศระหว่าง 3 องค์กรหลัก คือ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิคส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ, บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  ซึ่งเหล่านี้นับว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความตื่นตัวในการตอบ รับการนำ IPv6 มาใช้ในประเทศไทย
สถานการณ์ในต่างประเทศ
ประเทศในทวีปเอเชีย และยุโรป มีความตื่นตัวในการปรับเปลี่ยนเครือข่ายมากกว่าประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ เนื่องมาจากปัญหาการขาดแคลน IPv4 address บริษัทผู้นำทางด้านเทคโนโลยี IPv6 ล้วนตั้งอยู่ในภูมิภาคนี้ รัฐบาลประเทศญี่ปุ่นและสาธารณรัฐเกาหลี ต่างให้การสนับสนุนและผลักดันภาคเอกชน ให้หันมาให้บริการ IPv6 ในเชิงพาณิชย์มากขึ้น โดยประเทศญี่ปุ่นตั้งเป้าที่จะเริ่มใช้งานจริงในปี 2549 ประเทศเกาหลีใต้กับไต้หวัน เริ่มในปี 2550 อีกทั้งประเทศใหญ่ๆ อย่างเช่น จีน มีแนวโน้มที่จะเริ่มหันมาเอาจริงเอาจังในด้านนี้ ด้วยจำนวนประชากรและสถานะทางเศรษฐกิจที่บังคับ ส่วนอเมริกาซึ่งเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตมาตั้งแต่ต้นนั้นเดิม ยังไม่มีความเคลื่อนไหวมากนัก ซึ่งอาจเป็นเพราะว่าอเมริกายังไม่ประสบปัญหาการขาดแคลน IP address เท่ากับประเทศอื่นในเอเชียและยุโรป แต่ก็ได้มีการประกาศจากกระทรวงกลาโหมของอเมริกา โดยกำหนดข้อบังคับว่าเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงจะต้องพร้อมใช้ IPv6 ภายในปี 2551 ส่งผลให้ข้าราชการกระทรวงอื่นๆ เริ่มมีการขยับขยายปรับเปลี่ยนเครือข่ายของตน

การจัดสรรหมายเลข IPv6 Address

การขอหมายเลข IP Address จะต้องไปจดทะเบียนกับผู้รับจดทะเบียนอินเทอร์เน็ตระดับภูมิภาค หรือที่เรียกว่า RIR (Regional Internet Registry) ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 5 ราย ได้แก่ AFRNIC, APNIC, ARIN, LACNIC และ RIPE NCC ซึ่งเหล่านี้กำหนดตามตำแหน่งที่ตั้ง โดยสถิติจำนวนหมายเลข IPv6 ที่ได้ถูกจัดสรรโดย RIR แต่ละรายมีดังนี้ (แสดงในตารางที่ 2)

Total number of allocated IPv6 prefixes per RIR on 15/10/2006
RIR Region Size in /48s Count
AFRINIC African region 1441792 22
APNIC Asian Pacific 1173848080 453
ARIN North American region 13041712 240
LACNIC South American region 5570564 67
RIPE NCC European, Middle Eastern, and some Asian regions 2072125496 804
Total: 3266027644 1586
ตารางที่ 2 : ตารางแสดงการจัดสรรหมายเลข IPv6 ของ RIR แต่ละราย (15/10/2006)


รูปที่ 1 : แผนภาพวงกลมแสดงการจัดสรร IPv6 ตามจำนวน


รูปที่ 2 : แผนภาพวงกลมแสดงการจัดสรร IPv6 ตามขนาด

จากรูปที่ 1 และ 2 จะเห็นว่า RIR ที่ได้จัดสรรหมายเลข IPv6 มากที่สุด คือ RIPE NCC ซึ่งเป็นของพื้นที่แถบยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเชียบางส่วน เมื่อจัดอันดับประเทศที่ได้รับการจัดสรรหมายเลข IPv6 มากที่สุดแล้ว พบว่า ประเทศที่ได้รับมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง คือ สหัฐอเมริกา รองลงมา ได้แก่ เยอรมัน ญี่ปุ่น และอังกฤษ ตามลำดับ ซึ่งสามารถดู 10 อันดับประเทศแรกที่มีหมายเลข IPv6 มากที่สุดได้จากรูปที่ 3


รูปที่ 3 : แผนภูมิแท่งแสดง 10 อันดับประเทศแรกที่ได้รับการจัดสรรหมายเลข IPv6 มากที่สุด

บทสรุป
การเติบโตอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทำให้ IPv4 ที่ใช้กันอยู่แพร่หลายในปัจจุบันมีแนวโน้มว่ากำลังจะถูกใช้หมดไปในเวลาอัน ใกล้นี้ ดังนั้น IPv6 จึงเป็นทางออกทางเดียว โดยได้มีการพัฒนาปรับปรุงตัว Protocol เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ อีกทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพคุณสมบัติต่างๆ ที่เหนือกว่า IPv4 อีกด้วย

ด้วยความไม่พอเพียงของ IPv4 ที่กำลังจะหมดไป และคุณสมบัติที่เหนือกว่าอย่างมากของ IPv6 ไม่ช้าก็เร็วทุกภาคทุกหน่วยงานจำเป็นต้องนำ IPv6 มาใช้อย่างเลี่ยงไม่ได้ และต้องมีการปรับเปลี่ยนระบบโครงข่ายให้รองรับกับการใช้งาน IPv6 เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างมากของผู้บริโภคในการใข้งานอิน เทอร์เน็ตและการใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ ดังนั้นผู้ให้บริการเหล่านี้ควรมีการศึกษาวางแผนเตรียมพร้อมล่วงหน้า เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในการนำ IPv6 มาใช้ในอนาคต  โดยผู้ให้บริการควรสำรวจอุปกรณ์เครือข่ายที่สามารถรองรับกับ IPv6 และวางแผนเตรียมพร้อมในการปรับปรุงโครงข่ายของตน ในส่วนของผู้พัฒนา product และแอปพลิเคชันก็สามารถที่จะสร้างโอกาสทางธุรกิจได้ โดยศึกษาความต้องการของตลาด เพื่อคินค้นออกแบบพัฒนา product หรือแอปพลิเคชันที่รองรับกับ IPv6 ซึ่งเหล่านี้ควรมีการเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้า เพราะเมื่อถึงเวลาที่ IPv4 หมดลงจริงๆ ผู้ที่พร้อมมากกว่าจะเป็นผู้ได้เปรียบ นอกจากนี้ความเร็วในการเข้ามาและการเตรียมความพร้อมที่ดีจะเป็นการเพิ่ม โอกาสทางการแข่งขันทางธุรกิจอีกด้วย



เขียนโดย
นางสาวจามิกร  เปียทอง  และ พ.ท.รศ.ดร. เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ

เขียนโดย : http://www.guru-ict.com/

วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2553

วิธี ทำให้คอมเร็วๆๆ

วิธี ทำให้คอมเร็วๆๆ
 
หลายคนคงเบื่อที่ใช้งานคอมช้าๆ บางคนซื้อเครื่องใหม่ หรือไม่ก็เอาไปให้ช่างซ่อม เสียเงินเสียทองอีก
วันนี้ ไอทีมอลล์ ไปเจอบทความเรื่องการทำคอมให้เร็ว ด้วยตัวเอง ลองอ่านๆๆกันดูนะค่ะ

1.แปลงระบบ FAT32 ให้เป็น NTFS
ไปที่ start >run
พิมพ์ Convert X: /FS:NTFS
X คือ ไดร์ฟที่จะเปลี่ยน
ระหว่าง ไดร์ฟ: กับ / ต้องมีเว้นวรรค
แล้วกด ok แล้วจะมีการยืนยันกด yes ไปเรื่อยๆแล้วกด enter เพื่อ restart แล้วก็รอจะเข้า windows ใหม่ ก็เรียบร้อย

2.วิธี backup registry
start>program>accessories>system tool เลือก backup
จะปรากฏหน้าต่าง backup or restore
คลิกที่ลิงค์ advance mode
คลิกแถบ backup
แล้วคลิกเลือกส่วน System State
ดู ด้านล่างตรง backup media or file name กำหนดว่าจะ backup ที่ไหน
คลิก start backup แระstart backup จนเสร็จ

3.วิธี restore registry
start>program>accessories>system tool เลือก backup
จาปรากฏหน้าต่าง backup or restore
คลิกที่ ลิงค์ advance mode
คลิกแถบ restore and manage media
คลิกเลือก system state ที่ backup ไว้
คลิก start restore

4.หยุดการ auto run ของแผ่น cd
ก่อน shift ค้างแล้วใส่แผ่น cd

5.ลบ โปรแกรมที่มาพร้อมกับ win xp ออก
โปรแกรมที่มากับ winxp จะไม่มีใน add remove
ไปที่ start >setting>control panal>folder option
เลือก แถบ view เลือก show hidden files....เพื่อให้ windows โชว์ไฟล์ทั้งหมด
แล้ว ไปที่ start>run พิมพ์ inf
หาไฟล์ sysoc.inf แล้วดับเบิ้ลคลิก จะเปิดมาใน notepad
มองหาโปรแกรมที่จะลบ แล้วลบคำว่า hide ออกแล้ว save แล้วไปที่ add remove แล้วลบโปรแกรมที่จะเอาออก

6.วิธีลบ Shared Documents ออกจาก My Computer
บางท่านคงไม่เคยใช้ประโยชน์จากโฟลเดอร์ นี้เลย ครั้งอยากลบก็ลบเหมือนโฟลเดอร์ทั่วๆไปไม่ได้ รกตาเป็นบ้า
ดัง นั้นเรามาดูวิธีลบมันออกไปกันดีกว่า หุหุหุ
ก่อนอื่นให้ไปที่ Start>Run แล้วพิมพ์ regedit
จากนั้นให้เลือกที่ HKEY_LOCAL_MACHINE\Software\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Explorer\MyComputer\NameSpace\DelegateFolders
จากนั้นให้มองหาคีย์ {59031a47-3f72-44a7-89c5-5595fe6b30ee}
ลบ คีย์ที่ว่านี้ออกไปซะ Restart เครื่องใหม่ซะ
Shared Documents ก็จะหายไปจาก My Computer

7.เมื่อ keyboard เสีย
เราสามารถใช้ โปรแกรมที่มากับ winxp มาแก้ขัดก่อนได้ คือ on-screen keyboard
ไปที่ start>run พิมพ์ OSK

8.เข้า winXp ไม่ต้องรอนาน
โดยปกติ เมื่อเปิดเครื่องเข้า winxp นานประมาณ 30 วินาทีอาจไม่ทันใจพวกเรานัก
ไป ที่ start>run พิม cmd
มันจะขึ้นมาเป็น Dos พร้อม พิมพ์ bootcfg /timeout 5
แล้วกด enter
แล้วลองเข้า winxp ใหม่

9.โปรแกรม ค้าง ระหว่างการใช้งาน
กด alt+ctrl+delete จะปรากฏหน้าต่าง window task manager เลือก application
ดูว่าโปรแกรมไหนที่ not responting ก็ไปที่โปรแกรม แล้วกด end task

10.การทำให้ Notepad ไม่มี Scrollbar
บางคนอาจจะงง จะทำให้มันไม่มีไปทำไม
คำตอบคือ บางครั้งเวลาเปิดอ่านข้อความในโน๊ตแพด บางทีมันจะยาวไปทางขวามากๆ ทำให้เวลาอ่านต้องเลื่อนตามไป อ่านลำบากดีแท้ อันนี้ก็เป็นวิธีทำให้อ่านง่ายขึ้นอีกนิด
วิธีก็ เข้าไปที่โปรแกรม NotePad แล้วไปที่ เมนู Format > Word Wrap
เท่านี้มันก็จะเรียงให้ ใหม่

11.หลายครั้งที่เปิดหน้าต่าง IE ขึ้นมา มันจะใหญ่ๆเล็กๆ ไม่เท่ากันใช่มั้ย ต้องานั่งกดให้มันเต็มจอทุกครั้งดูแล้วน่ารำคาญ
เรา มีวิธีแก้ง่ายๆให้คุณ หุหุหุ
1. เข้าที่ Starts > Program > Internet Explorer คลิกขวาเลือก Properties
2. ที่หน้าต่าง Internet Explorer Properties ช่อง Run: คลิกเลือกให้อยู่ที่ Maximized แล้วคลิก OK
12.ติด จรวจในการเล่น internet ใน winxp
การใช้ internet บางครั้งเร็ว บางครั้ง ขึ้นอยู่กับส่วนปะกอบหลายอย่าง วิธีนี้ก็ทำให้ internet เร็วขึ้นที่ถูกและเร็ว 
ไปที่ start > run พิมพ์ gpedit.msc กด ok
จะ แสดงหน้าต่าง Group Policy
ที่ computer config.. เลือก Administrative Templates
หัวข้อ network เลือกที่ QoS Packet Scheduler
มอง หน้าต่างขวามือ ดับเบิ้ลคลิกที่ Limit reservable bandwith
จะปรากฏ หน้าต่างใหม่ Limit reservable bandwith Propoties เลือกแถบ setting คลิกเลือกที่ช่อง Enable
ในกรอบ Bandwith limit(%) ปรับเป็น 0 แล้วกด ok

13.เวลาเราใช้คำสั่ง Search (Start>Search)
หาไฟล์ต่างๆ ในเครื่อง มันจะมีหมาน้อย ออกมาพูดแนะนำต่างๆใช่มะ
หากเราเหม็นขี้หน้า มัน เราสามารถไล่มันไปได้
วิธีก็ดังนี้เลย
ไปที่ Start>Search
จาก นั้นดูด้านล่าง จะเห็น Change preferances คลิกเข้าไปโลด
คลิก Without an animeted screen character
เท่านี้เจ้าหมาน้อย ก็จะเดินจากเราไปแบบงอนๆ

14.เร่งความเร็ว start menu ให้เร็วทันใจ
ไป ที่ start >run พิมพ์ regedit
เลือก HKEY_CURRENT_USER\Control Panal\Desktop ดูกรอบขวามือ ดับเบิ้ลคลิก MenuShowDelay ปรากฏ edit string ในกรอบ value data ให้ใส่ไป 0 ไปเลย ถ้าอยากให้เร็วสุดๆ ^^

15.error report ความผิดพลาดในการใช้ windows xp
หรือโปรแกรมอื่นๆ เวลามันผิดพลาดจะปรากฏหน้าต่าง error report เพื่อแจ้งไปให้ไมโครซอฟได้รู้ แต่ถ้าจาปิดหน้าต่างนี้ ก็
คลิกขวา my com > propoties
เลือก advance คลิกปุ่ม error reporting
คลิกเม้าที่หน้า disable error reporting กด ok

16.System Restore จะช่วยให้สามารถเรียกระบบ window
ที่สมบูรณ์กลับคืนมาเมื่อ windows มีปันหา แต่ปันหาว่า มันกินพื้นที่ไปประมาณ 15% ของ HDD ถ้าเรามีเนื้อที่ม่ายพอ ก้อปิดการทำงานส่วนนี้ไปเลย
คลิกขวา my com >propoties เลือกแถบ system restore เอาเครื่องหมายถูกหน้า turn off system restore ออก กด ok

17.ปรับ ขนาดของถังขยะ recycle bin เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการใช้งาน
คลิกขวา recycle bin ไป propoties
ปรับที่ตรง % จากเดิมมันจะเป็น 20% ก็ปรับเป็น 4 %ของ HDD จะก็สามารถเพิ่มพื้นที่ของ HDD ได้อีก 16% เลย 
18.ปรับ แต่งโปรแกรมที่ใช้เป็นประจำให้เร็วขึ้น
ให้กดปุ่ม clrt + alt + delete ปรากฏกรอบ windows task manager เลือกแถบ processes
เลือกโปรแกรมที่จะ ปรับแต่ง คือคลิกขวาที่โปรแกรม แล้วไปที่ set priority
normal เป็นการทำงานปกติ ก้อปรับเป็น high
ถ้าโปรแกรมเร็วเกินไปก้อไปที่ low เมื่อปรับแต่งเสร็จจะแจ้งเตือนถึงการเปลี่ยนแปลงค่า ให้คลิก ok

19.มี บางคนใช้คอมฯ อยู่ดีๆแล้วรีสตาร์ทอัตโนมัติ
สาเหตุก็เกิดจากโปรแกรมได้ กำหนดค่าไว้ให้มีการรีสตาร์ทระบบอัตโนมัติเมื่อพบว่าระบบม
ีปัญหา
วิธี แก้คือ
คลิกขวา my com > propoties
ที่กรอบ system propoties เลือกแถบ advance
คลิกที่ setting จากกรอบ startup and recovery
ที่ กรอบ system failure ให้ติ๊กถูกที่ automatically restart ออก แล้วกด ok เพื่อยืนยัน หรือ นอนยัน 555

20.วิธีประหยัดไฟ คอมพิวเตอร์
start > turn off computer > turn off

21.ใครแอบดูเราตอนเล่นเนต์ อาจจะมีเซียนมือโปรเข้ามาขโมยข้อมูลเราก็ได้ เราสามารถใช้ win xp ตรวจดูได้
ไปที่ start > run พิมพ์ nestat 20 แล้วกด ok
ปรากฏหน้าต่าง ขึ้นมาดูว่ามี ip อันไหนแปลกปลอมเข้ามาบ้าง โดยโปรแกรมจะตรวจทุกๆ 20 วินาที

22.ดู ip เครื่องยังไง
ไปที่ start >run พิมพ์ cmd แล้ว ok
แล้วพิมพ์ ipconfig แล้วกด enter
ดูตรง ip address

23.อา การเม้าส์เจ๊ง ถ้าไม่มีเวลาไปซื้อ ก็ต้องใช้ คีย์บอร์ด แทนไปก่อน
ทำได้ ดังนี้

ไปที่ start >setting>control panal
ดับเบิ้ลคลิกที่ accessibility options
เลือกแถบ mouse คลิกเครื่องหมายถูกหน้า use mouse keys คลิกปุ่ม settings ในกรอบ keyboard shortcut คลิกเม้าส์ที่ช่องของ use shortcut เพื่อกำหนดดารใช้งานของ keyboard คลิกปุ่ม ok
ต่อไปก้อใช้ keyboard แทนเม้าส์ได้ชั่วคราว โดยที่ปุ่ม 1,2,3,4,6,7,8,9 ใช้ควบคุมทิศทาง และ 5แทนการคลิกเม้าส์

24.เวลาเอา โปรแกรมขึ้นมาหน้าจอเดสทอป
จะเห็นลูกศร ซึ่งท่านรำคาญมาก เอาลูกศรออกจากช๊อตคัดของโปรแกรมได้ดังนี้
ไปที่ start >run พิมพ์ regedit
เลือก HKEY_CLASSES_ROOT\Inkfile แล้วดูข้างขวา
จะมี IsShortcut แล้วคลิกขวา delete ไปเลย กด yes แล้วปิดหน้าต่าง regedit ไปเลย
จะเห็นว่าลูกศรหายไปแล้ว

25.เวลาจะเข้าเวปที่ลงท้ายด้วย .com เช่น siamsport
เราไม่ต้องเสียเวลานั่งพิมพ์ www.downloadfc.com ในช่องแอดเดรส
แต่ให้เราพิมพ์แค่downloadfcแล้วกด Ctrl+Enter เท่านี้ก็พอ
มันก็จะเป็น http://www.downloadfc.com
โดยอัตโนมัติ

26.ลบ โปรแกรมให้หมดจด
การ uninstall หรือ add/remove ก็ใช่ว่าจะลบไปจากเครื่องได้หมด เพราะมันจะยังอยู่ใน registry ของเครื่อง
ไป ที่ start >run พิมพ์ regedit
เลือกที่ HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Uninstall ลบโปรแกรมที่ ลบออก

27.การปิดเซอร์วิสสำหรับผู้ใช้คนเดียว
จะ ช่วยเพิ่มความเร็วและประสิทธิภาพในการทำงานให้กับระบบ และสำหรับผู้ที่ใช้คอมที่ไม่มีการเชื่อมต่อกับ
เครื่อข่ายต่างๆเช่นระบบ แลน ผู้ใช้ตามบ้าน สามารถปิดเซอร์วิสจำนวนมากที่เกี่ยวกับเครื่อข่าย ซึ่งไม่มีการใช้งาน ดังนี้ alerter , clipbook , computer browser , fast user switching ฯลฯ
โดยไปที่ start >setting>control panel > administrative tools >service
โปรแกรม service จาปรากฏขึ้น ในกรอบด้านขวา จะเห็นรายการเซอร์วิสต่างๆ สามารถปิดเซอร์วิสต่างๆเพื่อเพิ่มความเร็วกับระบบ ด้วยการ ดับเบิ้ลคลิกบนเซอร์วิส ในไดอะล๊อกบอกซ์ propoties ที่ปรากฏขึ้น หัวข้อ startup type ให้กำหนดเป็น disbled แล้วคลิก ok

28.shutdown ของ winxp
ใครก็รู้ว่ามันนานมาก ทิปนี้จาสามารถปิดเครื่องจากธรรมดา 50 วินาที จะเหลือเพียง 20-25 วินาที
โดยไปที่ start >run พิมพ์ regedit
HKEY_CURRENT_USER\control panel\desktop
ในกรอบด้านขวา HungAppTimeout ว่ามีค่าเท่ากับ 5000 ตามค่า default ให้เปลี่ยนเป็น 2000
จาก นั้นดูที่ WaitToKillAppTimeout จะเห็นค่า default เท่ากับ 20000 ให้ดับเบิ้ลคลิก แล้วแก้เป็น 4000
จากนั้นไปที่ HKEY_LOCAL_MACHINE\System\CurrentControlSet\Control
ที่ด้านขวา แก้ไขค่า WaitToKillServiceTimeout จาก 20000 ให้เท่ากับ 4000
ปิด โปรแกรม แล้วลองปิดเครื่อง........................................

29.เพิ่ม ประสิทธิภาพโดยการปรับแต่งหน่วยความจำ
ใน windows ทุกๆ ver. เมื่อหน่วยความจำของระบบไม่เพียงพอต่อการใช้งาน เช่นในกรณีที่ท่านเปิดโปรแกรมเป็นจำนวนมาก windows จะนำข้อมูลบางส่วนเก็บไว้ใน HDD โดยอัตโนมัติ เป็นการใช้ HDD เป็นเหมือนหน่วยความจำเสมือน
เราก็รู้ดีว่า แรมนั้นเร็วกว่า HDD ดังนั้น ถ้าท่านมีหน่วยความจำติดตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก <256> ท่านสามารถเพิ่มประสิทธิการทำงานของระบบด้วยการปิดการย้ายข้อมูลไปยัง HDD ของ windows โดยการ
ไปที่ regedit เหมือน rep บนๆนั้นละ
HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentControl\Control\Session Manager\Memory Management
ด้านขวาดับเบิ้ลคลิก DisablePagingExcutive
ให้แก้ค่า value data จาก 0 ให้เห็น 1 แล้วคลิก ok
แก้เสร็จ แล้ว restart

30.เพิ่มประสิทธิภาพด้วยการยกเลิกการเก็บ DLL ของ win XP
ใน การทำงานของ windows และโปรแกรมต่างๆ ระบบจะมีการโหลดไฟล์จำนวนมากหนึ่งกลุ่มที่ถูกใช้งานอยู่เสมอ และเป็นองค์ประกอบสำคัญ คือไฟล์ DLL จำนวนมาก
เมื่อ DLL บางส่วนไม่มีการใช้งานอีกต่อไป เช่น เมื่อท่านปิดโปรแกรม แต่ winXP จะยังคงเก็บไฟล์เหล่านี้เอาไปไว้ในแคชเผื่อจะมีการใช้อีก ซึ่งจะทำให้สามารถใช้งานอย่างรวดเร็ว แต่การเก็บไฟล์เหล่านี้เอาไว้ จะเป็นการสิ้นเปลืองหน่วยความจำโดยไม่จำเป็น
ไปที่ regedit
HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Explorer
เอาแถบน้ำเงินวางใน Explorer
จากนั้นเลือกคำสั่ง edit>new>key
ให้ท่านตั้งชื่อเป็น AlwaysUnloadDLL จากนั้นในกรอบด้านขวา
ดับเบิ้ลคลิก default แล้วปรับ value data เป็น 1

31.ใน winxp มันจะมีคล้าย winzip จะเป็นตัว Built-in Zip
โปรแกรม นี้ใช้งานง่ายและสะดวก แต่มันจะมีข้อจำกัดและลูกเล่นน้อยกว่าพวก winzip winrar ที่โปรแกรมพวกนี้ถูกสร้างมาเพื่อนบีบคลาย zip โดยเฉพาะ
เรา สามารถยกเลิกการใช้งาน built-in Zip และหันไปใช้ winzip หรือ winrar แทนได้ดังนี้
ไปที่ start>run พิมพ์
regsvr32 /u %windir%\system32\zipfldr.dll
แล้ว ok จากนั้นจะมีการเตือน ให้กด ok อีกครั้ง ก็เป็นการยกเลิก

32.เพิ่มความเร็วด้วยการจัดคิวให้กับ IRQ
เทคนิคนี้เป็นการเร่งความเร็วให้กับเครื่องคอม โดย windows จะทำการจัดคิวให้กับการใช้งาน IRQ ทำให้ windows สามารถทำงานได้เร็วขึ้น ทำได้ดังนี้
regedit
HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentControlSet\Control\PriorityControl
คลิกขวาPriorityControl เลือก new > DWORD Value
มันจะมีให้ ตั้งชื่อว่า IRQ8Priority แล้วดับเบิ้ลคลิกแก้ค่า value data เป็น 1 แล้วกด ok
จากนั้น restart

33.จูนหน่วยความจำสำหรับง่านต่างๆ
หน่วย ความจำเป็นฮาร์ดแวร์ที่สำคัญมากตัวหนึ่ง เทคนิคนี้จะทำหารสั่งให้ไฟล์ระบบต่างๆไปใช้แคชแทนเพื่อช่วยให้สามารถทำงาน ได้รวดเร็ว
ขึ้น เนื้อจากแคชสามารถทำงานได้เร็วกว่า HDD หลายเท่า ทำได้ดังนี้
regedit
HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentControlSet\Control\session Manager\Memory Management
ดับเบิ้ลคลิกที่ LargeSystemCache แก้ value data เป็น 1 แล้วกด ok

34.จัดการหั้ย cpu ทำงานเต็มประสิทธิภาพ
winXP ได้มีลูกเล่นที่ช่วยในการควบคุมการทำงานของ cpu ให้มีประสิทธิภาพในการทำงานให้ดีขึ้น
regedit
HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentControlSet\Service\P3\Parameters คลิกขวาที่ Parameters เลือก new>key
พิมพ์ชื่อว่า HackFlags แล้วปรับค่าเป็น 1 ก็กด ok

35.ยกเลิกการใช้ Picture and fax viewer ในการดูภาพ

โดยทั่วไปใน winXP จะใช้โปรแกรม Picture and fax viewer เป็นโปรแกรมหลักในการดูภาพ แต่เราสามารถยกเลิกแล้วไปใช้โปรแกรมอื่นดูภาพ เช่น acdsee
โดย
regedit
HKEY_CLASSES_ROOT\SysytemFileAssociations\image\ShellEX\ContextMenuHandlers\ShellmagePreview ด้านขวา ที่ default คลิกขวาแล้ว delete แล้วกด yes
ก็เป็นการยกเลิก

36.MTU
เป็นหน่วยหนึ่งที่ใช้กำหนดค่าให้กับการรับส่งข้อมูลผ่านระบบเครื่อข่าย ที่สูงสุดในกา
รส่งแต่ละครั้ง
ถ้าเราตั้งค่าให้ค้นหาค่า MTU แบบอัตโนมัติ ก็จะทำให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
regedit
HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentControlSet\Services\Tcpip\Parameters คลิกขวาParameters เลือก new > DWORD Value
ตั้งชื่อว่า EnablePMTUDiscovery
แล้วดับเบิ้ลคลิก พิมพ์ค่าเป็น 1แล้วกด ok

37.เพิ่ม การรับส่งข้อมูล MTU
การเพิ่มค่า MTU ให้มากที่สุด ก็เป็นส่วนหนึ่งให้ระบบการรับส่งข้อมูลทางอินเตอร์เนต์สามารถทำงานได้อย่าง มีประสิทธ
ิภาพ
regedit
HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentControlSet\Services\Tcpip\Parameters\interfaces\
คลิก + หน้าinterfaces จะมีหลายโฟลเดอร์ ให้คลิกขวาที่โฟลเดอร์แรก new >DWORD Value
ชื่อว่า MTU
แล้วดับเบิ้ลคลิกใส่ ค่า
576 ถ้าเปง dial-up Connection
1492 ถ้าเปง PPP Broadband Connecting
1500 ถ้าเปง Ethernet , DSL แระ Cable Broadband Connection

38.วิธี เร่งความเร็ว Windows ด้วย vitual memory
เนื่องจากโปรแกรมมีขนาดใหญ่ กว่าขนาดหน่วยความจำที่เรามีใช้งาน คอมจึงจำเป็นต้องมีหน่วยความจำเสมือนหรือ vitual memory เพื่อนมาสามารถทำงานได้ดีขึ้น ทำได้ดังนี้
regedit
HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentControlSet\Control\Session Manager\Memory Management
ด้านขวา ดับเบิ้ลคลิกที่ Pagingfiles
แก้ ไข้ value data ให้มีขนาดตามที่ต้องการ โดยที่ค่าแรกสุดจะเป็นค่าต่ำสุดที่ตั้งไว้ให้ แค่ค่าหลังเป็นค่าที่มากที่สุดที่ตั้งไว้
ของข้าพเจ้าเป็น 200 500

39.เพิ่ม ประสิทธิภาพด้วยการเก็บไฟล์ระบบไว้ในหน่วยความจำ
โปรแกรมวินโดว์จำมี หน้าที่ในการจัดสรรเนื้อที่หน่วยความจำให้กับระบบต่างๆ โดยปกติเมื่อมีการเรียกใช้ข้อมูลที่มีขนาดใหญ่กว่าหน่วยความจำที่มีอยู่ โปรแกรมจะทำการนำข้อมูลที่ไม่ได้ใช้แล้ว ในหน่วยความจำออกมาไว้ใน HDD ก่อนแล้วจึงโหลดข้อมูลข้อมูลชุดใหม่ลงไป
regedit
HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentControlSet\Control\Session Manager\Memory Management
ด้านขวา ดับเบิ้ลคลิกที่ DisablePagingExecutive
แก้เป็น 1 แล้ว ok

40.ยกเลิกหน้าต่าง ยืนหลังหลังดาวโหลดเสร็จ
ถ้าไม่ได้ใช้โปรแกรมช่วยดาวโหลด ก้อใช้โปรแกรมของ windows โหลด โดยปกติ ถ้าดาวโหลดเสร็จมันจะมีหน้าต่าง ว่าโหลดเสร็จแล้ว แล้วต้องกด open, open Folder ,close เพื่อปิดหน้าต่าง
ถ้า ต้องการให้มันปิดอัตโนมัติเมื่อดาวโหลดเสร็จ
ทำดังนี้
regedit
HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Internet Explorer\Main
ด้านขวา ดับเบิ้ลคลิกที่ NotifyDownloadComplete
แก้ไข เป็น Yes
กด ok

41.ลบข้อมูลใน page file หลังจากปิดเครื่อง

โดย ปกติ window จะไม่ทำการลบ หรือสร้าง page file หลังจากที่ windows ทำการปิดโปรแกรมหรือ windows นั่นหมายความว่าถ้าเรามีการใช้งานเครื่องคอมมากๆอาจจะทำให้คอมทำงานช้าลง และอาจจะทำให้มีผลกระทบต่อความปลอดภัยของคอมพิวเตอร์อีกด้วย
ดังนั้นควร ให้window ทำการลบ page file ทุกครั้งเมื่อมีการปิดเครื่อง ทำได้ดังนี้
HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentControlSet\Control\Session Manager\Memory Management
ดับเบิ้ลคลิกที่ ClearPageFileAtShutdown พิมพ์ค่าเป็น 1 แล้ว ok

42.safe mode เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาของ window
ในรูปแบบต่างๆ ซิ่งเป็นการเรียก window ขึ้นมาใช้งานแบบน้อยที่สุดแล้วสามารถเข้าไปตรวจสอบ และแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดที่ทำให้ระบบไม่ทำงาน
สำหรับ safe mode ของ xp กดปุ่ม f8 ค้างไว้ขณะเครื่องกำลังเข้าสู winxp
1.safe mode
เข้าสู่ รูปแบบปกติที่เหมือนกับ ver อื่นๆ
2.safe mode with networking
เข้า สู่รูปแบบปกติ แต่สามารถเข้าถึงระบบเครื่อข่ายได้
3.safe mode with command prompt
เข้าสู่คำสั่ง dos
4.enable boot logging
เข้า สู่ลักษณะการเก็บข้อมูลขั้นตอนการบู๊ตเข้าสู่ระบบลงสู่ไฟล์เอกสาร
5.enable vga mode
เข้าสู่ลักษณะที่มีปัญหาเกี่ยวกับการ์ดจอ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับจอภาพตัวใหม่
6.last know good configuration
คล้าย กับ system restore ย้อนกลับไปหน้าที่มีการจัดระบบที่ดีก่อนหน้านี้
7. debugging mode
เข้าสู่การแก้ไขปัญหาในระบบขั้นสูง
8.start windows normally
เข้าสู่ win xp ในหน้าปกติ
9. return to os choices menu
เข้าสู่ลักษณะเครื่องที่มีหลาย os

43.driver ลงใหม่ แล้วมีปัญหาใช้ของเก่าดีกว่า
เมื่อท่านติดตั้งอุปกรณ์ใหม่แล้วต้องติด ตั้ง software driver ลงไป อาจมีผลทำให้เครื่องทำงานผิดปกติ สามารถย้อนกลับไปใช้ของเดิม ดังนี้
คลิกขวา mycom > propoties
hardware > device manager
เปิดหาไดร์เวอร์ที่มีปันหา จาเห็นเป็นตัวกากบาทสีแดง ก็ดับเบิ้ลคลิก
ไปแถบ driver
คลิก roll back driver
กด ok

44.ใครชอบเข้ากระทู้ไหน ผมแนะนำให้ทำ Shortcut
เว็บหน้านั้นๆไว้เลยนะครับ อย่างเช่นอ่านกระทู้นี้อยู่ก็ให้ คลิ๊กขวาแล้วเลือก Create Shortcut แล้วก็ Yes มันก็จะมี Shortcut สำหรับเข้าหน้าเว็บนั้นๆที่ Desktop แล้วครับ (ถ้าใครขี้เกียจหากระทู้ก็ทำไว้นะครับ พอกระทู้ตกเราเข้ามาโพสก็เป็นการขุดกระทู้ไปในตัว ^.^)
by HoLY CoMM@nDo

45.เปิดหน้าต่าง IE ให้ทำงานได้เร็วขึ้น
เมื่อใช้งาน IE ไปนานๆ ทำไมโปรแกรมช้าลงทุกที สามารถทำให้เร็วเหมือนตอนติดตั้งใหม่ได้ ดังนี้
HKEY_LOCAL_MACHINE\Software\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Explorer\RemoteComputer\NameSpace คลิกขวาที่ D6277990-4C6A-11CF-8D87-00AA0060F5BF แล้ว delete
แล้วกด yes

46.คราวนี้มารู้ว่า registry คืออาไรบ้าง
registry เปรียบเหมือนศูนย์กลางของข้อมูล ทำหน้าที่จัดเก็บข้อมูลต่างๆอย่างเป็นหมวดหมู่ การเพิ่ม ลบ ติดตั้ง แก้ไขทุกอย่างอยู่ในนี้ทั่งหมด
แต่ละตัวมีหน้าทีไรบ้าง
HKEY_CLASSES_ROOT
ใช้สำหรับเก็บสมบัติต่างๆและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ software ทั้งหมดที่ติดตั้งภายในเครื่องคอม
HKEY_CURRENT_USER
ใช้สำหรับเก็บ ข้อมูลที่เกี่ยวกับผู้ที่ใช้งานปัจจุบันที่เข้ามาใช้งานเท่านั้น โดยจะมีความสัมพันธ์และเป็นข้อมูลชุดเดียวกับ HKEY_USERS
HKEY_LOCAL_MACHINE
ใช้สำหรับเก็บข้อมูลด้าน hardware softwareและการตั้งค่าอื่นๆ ภายในเครื่อง ข้อมูลภายในของส่วนนี้จะสามารถใช้งานกับทุกคนที่ใช้คอม
HKEY_USERS
ใช้สำหรับเก็บข้อมูลเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้ทั้งหมด จะมีความสัมพันธ์กับ HKEY_CURRENT_USER
HKEY_CURRENT_CONFIG
ใช้ สำหรับเก็บข้อมูลที่เกี่ยวกับการกำหนดค่าต่างๆของ hardware หรือ อุปการณ์ต่อพ่วงทั้งหมด

47.จะเปลี่ยนภาษา ~ ให้ใช้งานได้
ไปที่ start >setting >control panel
ดับเบิ้ลคลิกที่ Regional and Language Option
เลือกแถบ Regional Option
อันบนเปลี่ยนเป็น thai ล่างสุด thailand
เลือกแถบ Languages
ใส่เครื่องหมายถูกหน้า install files for complex script..... ต้องมี แผ่น win xp ด้วย
แล้ว ok
แล้วไปแถบ advance เลือก thai
แล้ว ok
แล้วมาที่ แถบ languages ในกรอบ text services and input language ให้เลือก details...
เลือก แถบ setting ในกรอบ Installed Services ให้เลือกปุ่ม add เพิ่มตั้งค่าเพิ่มภาษาของแป้นพิมพ์
แล้ว ok แร้วคลิก key setting เลือก switch between input language แล้ว ไปที่ change key sequence..
แล้ว เลือก Grave Accent ~ แล้ว ok

48.firewall ผนังกั้นแฮกเเกอร์รึป่าว ?
ใน winxp มีส่วนของการรักษาความปลอดภัยสำหรับการท่องเนต์ จากการถูกแฮกเกอร์เจาะระบบในขณะออนไลน์ ซึ่งมีผลทำให้ ข้อมูลอาจถูกเปิดเผยและถูกทำลายได้
เราสามารถตั้งค่า firewall ได้ตามนี้
start>setting>network connection
เลือกที่ internet ที่ใช้อยู่ คลิกขวา propoties
ไปแถบ advanced
ติ๊กถูกที่ protect my com and........ จะเป็นการเปิด firewall
แล้วก็ ok

49.วิธี เปิด Properties ของ File แบบใช้ Shortcut Keyboard
จากของเก่าที่ต้อง คลิกขวาแล้วเลือก Properties
โดยให้ใช้ปุ่มลูกศรเลื่อนไปที่ File ที่ต้องการแล้วกด Alt ค้างไว้แล้ว Enter หรือใครเซียนจัดมือขวาจับเมาส์มือซ้ายอยู่ที่คีย์บอร์ด ก็คลิกขวาแล้วพิมพ์ r ก็ได้นะครับ
ในหน้าจอ Explorer หรือ My Computer ต้องการให้ View ที่ตั้งเอาไว้เช่น Large Icons,Small Icons,List,Details ไม่เปลี่ยนไป
ทำ ได้โดยเปิด Explorer หรือ My Computer ที่เมนูบาร์ด้านบนคลิก Tools>Folder Options หรือหาได้ที่ Start>Control Panel>Folder Options เลือก Tab View เอาเครื่องหมายถูกหน้า Remember each folder's view settings ออก

50.เพิ่มความเร็วในการ รีเฟรชจอภาพ
ในการเปลี่ยน แปลงทุกครั้งเมื่อมีการเพิ่มโฟลเดอร์หรือลบสิ่งต่างๆในหน้าต่างย่อย ต้องกดรีเฟรชโดยการกด F5 เพื่อดูค่าที่เปลี่ยนแปลง
เราสามารถให้มันรี เฟรชภาพอัตโนมัติ ได้ ดังนี้
HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentControlSet\Control
แล้วกดที่ update ด้านซ้าย
ด้านขวา จะเห็น UpdateMode ให้คลิกขวา modify
ที่กรอบ base เลือกเป็น Decimal แล็ว value data เป็น 0
แล็ว ok
ต่อไปเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงก็ไม่ต้องกดรีเฟรชอีกต่อไป ^^ กด ok
ที่มา :http://forum.downloadfc.com

สาเหตุที่ทำให้เครื่องคุณแฮง

สาเหตุที่ทำให้เครื่องคุณแฮง
 

1.ซีพียู

เครื่องที่แฮงบ่อย เนื่องจาก ซีพียู นี้ เกิดจากการนำเอา ซีพียูรุ่นต่ำกว่ามาขายเป็นรุ่นสูงกว่า
เนื่องจากซีพียูแต่ละตัว จะถูกผลิตให้ทำงานเกินมาตรฐานประมาณ 20 % อยู่แล้ว ทำให้เกิดมีพ่อค้าหัวใส
เอา ซีพียูรุ่นต่ำกว่ามาสกรีนข้อความบนตัวซีพียูใหม่ เป็นรุ่นสูงกว่า ขายได้ในราคาสูงกว่า
วิธีการแบบนี้เรียกว่า การ remark บางครั้ง ผู้ขายเครื่อง (ประกอบเครื่องขายอีกที) ก็ไม่รู้ว่า
ซีพียูนั้นถูก remark หรือไม่ เขาก็รับซีพียูมาเพื่อประกอบอีกทีหนึ่ง พวกนี้ เวลาเรานำเครื่องไปเคลม
เขาเองก็หาสาเหตุไม่ได้เหมือนกัน ก็ต้องลองเปลี่ยนชิ้นส่วนไล่ไปทีละตัว จนกว่าเครื่องจะมีอาการดีขึ้น


ยัง มีร้านค้าบางร้าน จะตั้งใจโกงลูกค้าเองเลยก็มี เช่น
นำเอาซีพียูความ เร็วต่ำมาขายเป็นซีพียูความเร็วสูง เขาจะใช้เทคนิค การ overclock ซีพียู
คือ จะตั้งให้ซีพียูทำงานในความถี่ที่สูงขึ้นเกินมาตร ฐาน ยิ่งถ้าเป็น ซีพียูของ Intel ด้วยแล้ว overclock
ได้มาก อีกทั้งยังมีพัดลมติดมากับซีพียูเลย หรือ จะเป็นกล่องหุ้มไว้ถ้าเป็น Pentium II หรือ III .
ถ้าเกิดลูกค้าใช้แล้วไม่เกิดปัญหาใดๆ รับรองว่าลูกค้าไม่รู้แน่ๆ ผู้ขายก็ได้กำไรไปสบาย ๆ(Celeron 300A
เกือบ ทุกตัว สามารถ overclock ได้เป็น 450 MHZ สบาย ๆ )


2.พัดลมซีพี ยู

พัดลมก็สามารถเป็นสาเหตุให้เครื่องแฮงได้เหมือนกัน พัดลมที่เป่าตัวซีพียู ถ้าเป็น ซีพียู ของ Intel
ก็คงไม่น่าจะมีปัญหา เพราะจะมีพัดลมติดมากับตัดซีพียูเลย แกะออกยาก แต่ถ้าเป็นของค่ายอื่น เช่น AMD หรือ
Cyrix พัดลมจะต้องติดแยกต่างหาก พัดลมที่ทางร้านค้าติดมาหรือที่เราซื้อแยกมาต่างหาก
ถ้าเป็นพัดลมคุณภาพ ต่ำ หรือเป็นพัดลมตัวเล็ก ไม่เพียงพอความต้องการของซีพียู
ก็จะทำให้ซี พียูเกิดความร้อนสูงเกินไป จนทำให้เครื่องแฮงได้ ถ้าแน่ใจว่าพัดลมตัวใหญ่พอ
สาเหตุอาจเกิดจากพัดลมเสีย คือ หมุนบ้างไม่หมุนบ้าง หรือไม่หมุนเลย แบบนี้ ซื้อตัวใหม่เปลี่ยนได้เลย
ถ้าซื้อใหม่ ควรซื้อพัดลมที่มีตัววัดรอบการหมุนของใบพัดด้วย เราจะได้ตรวจเช็คได้โดยทาง software หรือ
ทาง bios โดยไม่ต้องเปิดฝาเครื่องดู


3.เพา เวอร์ซัพพลาย

หลายคนคงหาสาเหตุการแฮงไม่เจอ เปลี่ยนชิ้นส่วนทุกชิ้นส่วนดูแล้ว ฟอร์แมต ลงโปรแกรมใหม่ก็แล้ว
เครื่อง ก็ยังแฮงอยู่เรื่อย ใครจะรู้ อีกสาเหตุหนึ่งมาจากตัวเพาเวอร์ซัพพลายนี่แหละครับ
ถ้าเพาเวอร์ซัพพลาย ไม่ดี คือ จ่ายไฟไม่สม่ำเสมอ จ่ายไฟขาดบ้าง เกินบ้าง ไม่ใช้แค่เครื่องแฮงครับ
ชิ้นส่วนบางชิ้น หรือทุกชิ้น อาจพังได้ ต้องระวังให้ดี เราสามารถเช็คกระแสไฟได้จาก bios หรือจาก
software เช่น Motherboard Monitor คอยหมั่นเช็คก็ดีครับ แต่ถ้าเจอแบบ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายหละก็
คงเช็คยาก ลงทุนเปลี่ยนตัวใหม่ก็ดีครับ ตัดปัญหา เพาเวอร์ตัวหนึ่ง ถ้าเป็น AT ไม่เกิน 500 บาทหรอกครับ
ถ้าเป็น ATX ก็ไม่น่าเกิน 800 บาท (แบบมาตรฐาน)



4.ฮาร์ดดิสค์

อีก สาเหตุหนึ่งก็ตัว ฮาร์ดดิสค์ นี่แหละครับ คือ อาการ bad sector
ที่เกิด ขึ้นแบบจานแม่เหล็กในฮาร์ดดิสค์ เราสามารถตรวจเช็คได้ง่าย โดยการใช้ scandisk ของตัว Windows
นี่แหละครับ เลือก option : Thorough ถ้าเจอ bad sector จริง ก็รีบ mark ตัว bad sector ไว้
เพื่อไม่ให้เครื่องเข้า ถึงข้อมูลใน sector นั้นอีก ถ้าตัวฮาร์ดดิสค์ยังอยู่ในประกัน (3-5 ปี)
เอา ไปเคลมเลยครับ อย่ารอช้า ถ้าหมดประกันแล้ว ก็ต้องทนใช้ไปครับ ถ้า mark bad sector แล้ว
ก็ใช้ได้ดีครับ แค่ทำให้พื้นที่เก็บข้อมูลลดลงไปเท่านั้น ถ้ายังไม่พอใจ ซื้อใหม่เลย (อีกแล้ว)



5.หน่วยความจำ

หน่วย ความจำ หรือ แรม นี้มีต่อมากกับการแฮงของระบบ ถ้าเป็นแรมคุณภาพต่ำ รับรอง ใช้ไปแฮงไป ถ้าพบว่า
แรมเป็นสาเหตุ รีบนำไปเปลี่ยนกับร้านที่ซื้อมาครับ ก่อนจะหมดประกัน แล้วทุกอย่างจะลงเอยด้วยดี

บางครั้ง สาเหตุไม่ได้เกิดจากแรมไม่ดี แต่ว่าเป็นการติดตั้งครับ คือ ถ้าเราเสียบแรมไม่เข้าล็อคของมัน
ก็เป็นสาเหตุให้เครื่องแฮงได้ เราจะสังเกตุได้จาก บางครั้งเครื่องจะ detect แรมผิดพลาด
บางทีเจอแค่ แผงเดียว ถ้าเกิดมีแผงเดียวอยู่แล้ว ก็อาจทำให้เครื่อง detect แรมไม่เจอเลย แบบนี้ boot
ไม่ขึ้นเลยครับ เวลาเสียบ ต้องเสียบให้เข้าล็อคครับ กดลงไปลึก ๆ
จนขาทั้งสองข้างของตัวรับสามารถพับขึ้นมาล็อคตัวแรมไ ด้ เวลาเสียบระวังหักนะครับ จับมั่นๆ เอาไว้


6.เมนบอร์ด

อีก สาเหตุหนึ่ง ก็คือตัวเมนบอร์ดเองครับ ถ้าเป็นเมนบอร์ดคุณภาพต่ำ ราคาถูก อาจเป็นสาเหตุได้
ปัญหานี้ตรวจเช็คได้ยากครับ คงต้องยกไปที่ร้าน ให้ลองเปลี่ยนชิ้นส่วนอื่น ๆ ดู ถึงจะพบปัญหานี้ได้
ถ้าสาเหตุเป็นที่ เมนบอร์ดจริง ก็คงแย่หน่อย เพราะทางร้านจะส่งซ่อม แทนที่จะเคลมอันใหม่ให้
ต้อง รอนานอย่างน้อยเป็นเดือนหรือมากกว่านั้นครับ ยกเว้น เพิ่งซื้อไม่เกินหนึ่งสัปดาห์
อาจได้เปลี่ยนเป็นของใหม่ทันที ต้องแล้วแต่ร้านที่ซื้อมาแล้วครับ



7.ความเข้ากันได้ของ อุปกรณ์ต่าง ๆ

อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก คือ ความเข้ากันได้ของอุปกรณ์แต่ละชิ้น ที่พบบ่อยๆ จะเป็นการเข้ากันไม่ได้ของ
เมน บอร์ดกับการ์ดแสดงผล เมนบอร์ดกับแรม จะมีบ้างคือเมนบอร์ดกับฮาร์ดดิสค์ อุปกรณ์แต่ละตัว
ไม่มีตัวไหนเสียหรือรวน ทุกตัวใช้การได้ดีหมด เพียงแต่อยู่ด้วยกันไม่ได้ ถ้าพบปัญหานี้
ลองค้นข้อมูลของอุปกรณ์แต่ละ ชิ้นในอินเตอร์เนท อาจจะมี patch ออกมาแก้ไขปัญหาได้
ถ้าไม่มีคงต้อง ปรึกษากับร้านที่คุณซื้ออุปกรณ์มา อธิบายปัญหาให้เขาฟังเพื่อจะขอเปลี่ยนชิ้นส่วนนั้น ๆ
เป็นตัวอื่นที่ไม่ มีปัญหา



8.ไวรัส

อาการแฮงจากไวรัสนี้ แม้จะสร้างปัญหามาก แต่สามารถตรวจพบ และ แก้ไข ปัญหาได้ง่าย
ขอเพียง หมั่นตรวจเช็คเจ้าวายร้าย ไวรัส ให้สม่ำเสมอ ปัญหานี้จะหมดไป



9.Driver

ถ้าคุณลง driver ไม่ตรงกับอุปกรณ์ที่มีอยู่ รับรองเกิดปัญหาแน่ ซึ่งอาจทำให้เครื่องแฮงได้บ่อย ๆ
เหมือนกัน ฉะนั้น เราจะต้องระวังปัญหานี้ไว้ด้วย สามารถตรวจเช็คว่าได้ลง driver ไว้ตรงตามรุ่นหรือไม่
โดยการ คลิกขวาที่ My Computer เลือก Property แล้วเลือก Device Manager อีกที
ถ้าอุปกรณ์ใดที่มีเครื่องหมายตกใจ (!) ให้รีบแก้ไข driver ใหม่ให้ตรงตามรุ่นที่มีอยู่



10.ตัวเรา เอง ส่วนใหญ่เกิดจากสาเหตุนี้ 5555
ฟังดูแล้วบางคนอาจจะหัวเราะเยาะว่า ใครจะบ้าจะทำให้เครื่องตัวเองแฮงบ่อย สร้างปัญหาให้กับตัวเอง จริง ๆ
แล้ว พวกเราอาจจะไม่ตั้งใจทำก็ได้ อาจเกิดจากความไม่รู้ ความสะเพร่า หรือความรีบร้อน เราอาจจะอยากกำจัด
file ที่คิดว่าไม่สำคัญออกจากฮาร์ดดิสค์โดยการลบทิ้ง แต่แท้จริง file นั้นสำคัญมาก ถ้า file นั้นเสียหาย
หรือ หายไป จะทำให้เกิดอาการผิดปกติของโปรแกรมได้ บางคนอาจจะรีบร้อนปิดเครื่องโดยที่ไม่สั่ง shutdown
เสียก่อน file ต่างๆ ที่ load ไว้ยังไม่ถึงสั่งปิดอย่าถูกวิธี ทำให้ file นั้น ๆ เสียหายได้
และทำให้เครื่องแฮงได้ ฉะนั้น ทางแก้ไขคือ เราจะต้องศึกษาการใช้โปรแกรมนั้น ๆ เสียก่อน
เพื่อจะได้ไม่ต้องใช้แบบ ผิด ๆ ถูก ๆ สร้างปัญหาให้ตัวเองอย่างไม่รู้ตัว
ที่มา :http://forum.downloadfc.com/

Blue Screen จอมรณะ สาเหตุและแนวทางแก้ไข

Blue Screen จอมรณะ สาเหตุและแนวทางแก้ไข  

แนวทางและการแก้ไขเมื่อทานเจอหน้าจอสีฟ้าครับคำว่า Blue Screen คนเล่นคอม จะรู้จักดีและเป็นสิ่งที่ทุกคนกลัวไม่อยากให้เกิดกับ เครื่องของตน เพราะถ้าเกิดนั้นเป็นสัญญาณบอกเหตุว่าคอมของตนเริ่มม ีปัญหา แต่ที่น่าเจ็บใจคือมันบอกเป็นเลขรหัสที่เราๆ ท่านๆ ต้องงงเพราะไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร และจะมีทางแก้ไขอย่างไร ป่านไปค้นหามาว่าแต่ละตัวมีความหมายอย่างไร (ไปหาเจอในเวบหนึ่ง จำลิ้งไม่ได้ละ)มาให้คุณๆ ได้อ่าน คิดว่าน่าจะเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาได้บ้าง รหัสที่แจ้งของ Blue Screen จริงๆมีเกินร้อยตัวเลยครับ

1.(stop code 0X000000BE) Attempted Write To Readonly Memory

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

อาการนี้ เกิดจากการลง driver หรือ โปรแกรม หรือ service ที่ผิดพลาด เช่น ไฟล์บางไฟล์เสีย ไดร์เวอร์คนละรุ่นกัน ทางแก้ไขให้ uninstall

โปรแกรม ตัวที่ลงก่อนที่จะเกิดปัญหานี้ ถ้าเป็นไดร์เวอร์ก็ให้ทำการ roll back ไดร์เวอร์ตัวเก่ามาใช้ หรือ หาไดร์เวอร์ที่ล่าสุดมาลง (กรณีที่มีใหม่กว่า) ถ้าเป็น

พวก service ต่างๆที่เราเปิดก่อนเกิดปัญหาก็ให้ทำการปิด หรือ disable ซะ

2.(stop code 0X000000C2) Bad Pool Caller

สาเหตุ และแนวทางแก้ไข:

ตัวนี้จะคล้ายกับตัวข้างบน แต่เน้นที่พวก hardware คือเกิดจากอัฟเกรดเครื่องพวก Hardware ต่าง เช่น ram ,harddisk การ์ดต่างๆ ไม่

compatible กับ XP ทางแก้ไขก็ให้เอาอุปกรณ์ที่อัฟเกรดออก ถ้าจำเป็นต้องใช้ก็ให้ลงไดร์เวอร์ หรือ อัฟเดท firmware ของอุปกรณ์นั้นใหม่ และคำ

เตือนสำหรับการจะอัฟเดท ให้ปิด anti-virus ด้วยนะครับ เดียวมันจะยุ่งเพราะพวกโปรแกรม anti-virus มันจะมองว่าเป็นไวรัส




3.(stop code 0X0000002E) Data Bus Error

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

อาการ นี้เกิดจากการส่งข้อมูลที่เรียกว่า BUS ของฮาร์ดแวร์เสียหาย ซึ่งได้แก่ ระบบแรม ,cache L2 ของซีพียู , เมมโมรีของการ์ดจอ, ฮาร์ดดิสก์ทำงาน

หนัก ถึงขั้น error (ร้อนเกินไป) และเมนบอร์ดเสีย

4.(stop code 0X000000D1)Driver IRQL Not Less Or Equal

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

อาการ ไดร์เวอร์กับ IRQ(Interrupt Request ) ไม่ตรงกัน การแก้ไขก็เหมือนกับ error ข้อที่ 1

5. (stop code 0X0000009F)Driver Power State Failure

สาเหตุ และแนวทางแก้ไข:

อาการนี้เกิดจาก ระบบการจัดการด้านพลังงานกับไดรเวอร์ หรือ service ขัดแย้งกัน เมื่อคุณให้คอมทำงานแบบ"hibernate" แนวทางแก้ไข ถ้า

วินโดวส์แจ้ง error ไดร์เวอร์หรือ service ตัวไหนก็ให้ uninstall ตัวนั้น หรือจะใช้วิธี Rollback driver หรือ ปิดระบบจัดการ

พลังงานของวินโดวส์ซะ

6.(stop code 0X000000CE) Driver Unloaded Without Cancelling Pending

Operations

สาเหตุ และแนวทางแก้ไข:

อาการไดร์เวอร์ปิดตัวเองทั้งๆ ทีวินโดวส์ยังไม่ได้สั่ง การแก้ไขให้ทำเหมือนข้อ 1

7.(stop code 0X000000F2)Hardware Interrupt Storm

สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการที่เกิดจากอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ เช่น USB หรือ SCSI controller จัดตำแหน่งกับ IRQ ผิดพลาด สาเหตุจาก

ไดร์เวอร์หรือ firmware การแก้ไขเหมือนกับข้อ 1

8.(stop code 0X0000007B)Inaccessible Boot Device

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

อาการนี้จะมักเจอตอนบูต วินโดวส์ จะมีข้อความบอกว่าไม่สามารถอ่านข้อมูลของไฟล์ระบบหรื อ boot partitions ได้ ให้ตรวจฮาร์ดดิสก์ว่าปกติหรือไม่ สาย

แพหรือสายไฟที่ เข้าฮาร์ดดิสก์หลุดหรือไม่ ถ้าปกติดีก็ให้ตรวจไฟล์ boot.ini อาจจะเสีย หรือไม่ก็มีการทำงานแบบmulti OS ให้ตรวจดูว่าที่ไฟล์นี้อาจเขียน

config ของ OS ขัดแย้งกัน

อีกกรณีหนึ่งที่เกิด error นี้ คือเกิดขณะ upgrade วินโดวส์ สาเหตุจากมีอุปกรณ์บางตัวไม่ compatible ให้ลองเอาอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นหรือคิดว่ามี

ปัญหาออก เมื่อทำการ upgrade วินโดวส์ เรียบร้อย ค่อยเอาอุปกรณ์ที่มีปัญหาใส่กลับแล้วติดตั้งด้วยไดร์ เวอร์รุ่นล่าสุด

9. (stop code 0X0000007A) Kernel Data Inpage Error

สาเหตุและแนวทาง แก้ไข:

อาการนี้เกิดมีปัญหากับระบบ virtual memory คือวินโดวส์ไม่สามารถอ่านหรือเขียนข้อมูลที่ swapfile ได้ สาเหตุอาจเกิดจากฮาร์ดดิสก์เกิด bad

sector, เครื่องติดไวรัส, ระบบ SCSI ผิดพลาด, RAM เสีย หรือ เมนบอร์ดเสีย

10. (stop code 0X00000077) Kernel Stack Inpage Error

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

อาการ และสาเหตุเดียวกับข้อ 9


11.(stop code 0X0000001E) Kmode Exception Not Handled

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

อาการนี้เกิด การทำงานที่ผิดพลาดของไดร์เวอร์ หรือ service กับ หน่วยความจำ และ IRQ ถ้ามีรายชื่อของไฟล์หรือ service แสดงออกมากับ

error นี้ให้ทำการ uninstall โปรแกรมหรือทำการ roll back ไดร์เวอร์ตัวนั้น

ถ้ามีการ แจ้งว่า error ที่ไฟล์ win32k สาเหตุเกิดจาก การ control software ของบริษัทอื่นๆ (Third-party) ที่ไม่ใช้ของ

วินโดวส์ ซึ่งมักจะเกิดกับพวก Networking และ Wireless เป็นส่วนใหญ่

Error นี้อาจจะเกิดสาเหตุอีกอย่าง นั้นคือการ run โปรแกรมต่างๆ แต่หน่วยความจำไม่เพียงพอ


12.(stop code 0X00000079)Mismatched Hal
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

อาการนี้เกิดการทำงานผิดพลาดของ Hardware Abstraction Layer (HAL) มาทำความเข้าใจกับเจ้า HAL ก่อน HAL มีหน้าที่

เป็นตัวจัดระบบติดต่อระหว่างฮาร์ดแวร์กับซอฟท์แวร์ว่ าแอปพลิเคชั่นตัวไหนวิ่งกับอุปกรณ์ตัวไหนให้ถูกต้อง ยกตัวอย่าง คุณมีซอฟท์แวร์ที่ออกแบบไว้ใช้กับ Dual CPU

มาใช้กับเมนบอร์ดที่เป็น Single CPU วินโดว์ก็จะไม่ทำงาน วิธีแก้คือ reinstall วินโดวส์ใหม่

สาเหตุ อีกประการการคือไฟล์ที่ชื่อ NToskrnl.exe หรือ Hal.dll หมดอายุหรือถูกแก้ไข ให้เอา Backup ไฟล์ หรือเอา original ไฟล์ที่

คิดว่าไม่เสียหรือ เวอร์ชั่นล่าสุดก๊อปปี้ทับไฟล์ที่เ สีย

13.(stop code 0X0000003F)No More System PTEs

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

อาการนี้เกิดจาก ระบบ Page Table Entries (PTEs) ทำงานโดย Virtual Memory Manager (VMM) ผิดพลาด ทำ

ให้วินโดวส์ทำงานโดยไม่มี PTEs ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับวินโดวส์ อาการนี้มักจะเกิดกับการที่คุณทำงานแบบ multi monitors

ถ้าคุณเกิดปัญหานี้บ่อยครั้ง คุณสามารถปรับแต่ง PTEs ได้ใหม่ ดังนี้
1. ให้เปิด Registry ขึ้นมาแก้ไข โดยไปที่ Start > Run แล้วพิมพ์คำสั่ง Regedit
2. ไปตามคีย์นี้ HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentControlSet\Contro l\Session

Manager\Memory Management
3. ให้ดูที่หน้าต่างขวามือ ดับคลิกที่ PagedPoolSize ให้ใส่ค่าเป็น 0 ที่ Value data และคลิก OK
4. ดับเบิลคลิกที่ SystemPages ถ้าคุณใช้ระบบจอแบบ Multi Monitor ให้ใส่ค่า 36000 ที่ Value data หรือใส่ค่า 40000

ถ้าเครื่องคุณมี RAM
128 MB และค่า 110000 ในกรณีที่เครื่องมี RAM เกินกว่า 128 MB แล้วคลิก OK
รีสตาร์ทเครื่อง

14.(stop code 0X00000024) NTFS File System

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

อาการ นี้สาเหตุเกิดจากการรายงานผิดพลาดของ Ntfs.sys คือไดร์เวอร์ของ NTFS อ่านและเขียนข้อมูลผิดพลาด สาเหตูนี้รวมถึง การทำงานผิดพลาดของ

controller ของ IDE หรือ SCSI เนื่องจากการทำงานของโปรแกรมสแกนไวรัส หรือ พื้นที่ของฮาร์ดดิสก์เสีย คุณๆสามารถทราบรายละเอียด

ของerror นี้ได้โดยให้เปิดดูที่ Event Viewer วิธีเปิดก็ให้ไปที่ start > run แล้วพิมพ์คำสั่ง eventvwr.msc เพื่อเปิดดู Log

file ของการ error โดยให้ดูการ error ของ SCSI หรือ FASTFAT ในหมวด System หรือ Autochk ในหมวด

Application

15.(stop code 0X00000050)Page Fault In Nonpaged Area

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

อาการนี้สาเหตุการจาก การผิดพลาดของการเขียนข้อมูลในแ รม การแก้ไขก็ให้ทำความสะอาดขาแรมหรือลองสลับแรมดูหรือไ ม่ก็หาโปรแกรมที่ test แรมมาตรวจว่า

แรมเสียหรือไม่

16.(stop code 0Xc0000221)Status Image Checksum Mismatch

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

อาการ นี้สาเหตุมาจาก swapfile เสียหายรวมถึงไดร์เวอร์ด้วย การแก้ไขก็เหมือนข้อ 15

17.(stop code 0X000000EA) Thread Stuck In Device Driver

สาเหตุ และแนวทางแก้ไข:

อาการของ error นี้คือการทำงานของเครื่องจะทำงานในแบบวนซ้ำๆ กันไม่สิ้นสุด เช่นจะรีสตาร์ทตลอด หรือแจ้งerror อะไรก็ได้ขึ้นมาไม่หยุด ปัญหานี้

สาเหตุ อาจจะเกิดจาก bug ของโปรแกรมหรือสาเหตุอื่นๆ เป็นร้อย การแก้ไขให้พยายามทำตามนี้

1.ให้ดูที่ power supply ของคุณว่าจ่ายกำลังไฟเพียงพอกับความต้องการของคอมคุณ หรือไม่ ให้ดูว่าในเครื่องคุณมีอุปกรณ์มากไปไม่เหมาะกับ power

supply ของคุณ ก็ให้เปลื่ยนตัวใหม่ให้กำลังมากขึ้น
หรือตรวจดูชิ้นส่วนเครื่อง ตัว Capacitor ที่เมนบอร์ดตัวที่จ่ายไฟเลี้ยง CPU ว่าบวมไหม
2. ให้คุณดูที่การ์ดจอว่าได้ใช้ไดร์เวอร์ตัวล่าสุด ถ้าแน่ใจว่าใช้ตัวล่าสุดแล้วยังมีอาการ ก็ให้ทำการ Rollback ไดร์เวอร์ตัวก่อนที่จะเกิดปัญหา
3. ตรวจดูการ์ดจอและเมนบอร์ดว่าเสียหรือไม่เช่น มีรอยไหม้, ลายวงจรขาด มีชิ้นสวนบางชิ้นหลุดจากตำแหน่งเดิม เป็นต้น
4. ดูที่ bios ว่าส่วนของ VGA slot เลือกโหมด 4x,8x ถูกตามสเปกของการ์ดหรือไม่
5. เช็คดูที่ผู้ผลิตเมนบอร์ดว่ามีไดร์เวอร์ตัวใหม่หรือไ ม่ ถ้ามีให้โหลดลงใหม่ซะ
6. ถ้าคุณมีการ์ดแลนหรือเมนบอร์ดของคุณมี on board อยู่ให้ disable ฟังก์ชั่น "PXE Resume/Remote Wake Up" โดย

ไปปิด ที่ BIOS

18. (stop code 0X0000007F) unexpected Kernel Mode Trap

สาเหตุ และแนวทางแก้ไข:

อาการนี้ส่วนใหญ่จะเป็นกับนัก overclock (ผมก็คนหนึ่ง) เป็นอาการ RAM ส่งข้อมูลให้ CPU ไม่สัมพันธ์กันคือ CPU วิ่งเร็วเกินไป หรือร้อนเกินไป

สาเหตุเกิดจากการ overclock วิธีแก้ก็คือลด clock ลงมาให้เป็นปกติ หรือ หาทางระบายความร้อนจาก CPU ให้มากที่สุด

19. (stop code 0X000000ED)Unmountable Boot Volume

สาเหตุ และแนวทางแก้ไข:

อาการที่วินโดวส์หาฮาร์ดดิสก์ไม่เจอ (ไม่ใช่ตัวบูตระบบ) ในกรณีที่คุณมีฮาร์ดดิสก์หลายตัว หนึ่งในนั้นคุณอาจใช้สายแพของฮาร์ดดิสก์ผิด เช่น ฮาร์ดดิสก์เป็นแบบ

33MB/secound ซึ่งต้องใช้สายแพ 40 pin แต่คุณเอาแบบ 80 pin ไปต่อแทน

20. (STOP 0x0000008e" error message during Windows XP setup

สาเหตุและแนวทาง แก้ไข:

แรมที่ใช้อยู่มีปัญหาหรือแรมใหม่ที่นำมาใส่เกิดความไ ม่เข้ากันของฮาร์ดแวร์ ให้ลองเปลี่ยนแรมใหม่มาใส่ดู
หรือไฟจ่ายไม่สม่ำ เสมอให้ลองเปลี่ยนพาวเวอร์ซัพพลายด ูครับ

วันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เครื่องไม้เครื่องมือสำหรับช่าง


  1. หัวแร้งไฟฟ้า
              หัวแร้ง (Soldering Iron) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ให้ความร้อนในการบัดกรีสายไฟและอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเชื่อมต่อสายไฟ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เข้ากับวงจร หัวแร้งที่นิยมใช้ในงานอิเล็กทรอนิกส์มี 2 ชนิดดังนี้
                     1.1   หัวแร้งแช่   เป็นหัวแร้งที่มีกำลังวัตต์ต่ำ ๆ   สำหรับในงานอิเล็กทรอนิกส์ควรมีกำลังวัตต์ไม่เกิน 40 วัตต์ เวลาใช้ให้เสียบไฟแช่เอาไว้จนกว่าจะเลิกใช้งาน จะกินไฟฟ้าตลอดเวลา แต่กินน้อย โครงสร้างคล้ายกับเตาไฟฟ้าประกอบด้วยขดลวดความร้อนพันอยู่รอบกระบอกโลหะที่ นำความร้อนได้ดี   ส่วนที่เป็นปลายหัวแร้งทำจากโลหะที่นำความร้อนได้ดีจะเสียบอยู่ในกระบอกโลหะ ตามหลักการ “ขดลวดความร้อนเมื่อได้รับความร้อนโมเลกุลจะขยายตัวจะทำให้ความต้านทานไฟฟ้า สูงขึ้น มีผลให้กระแสไฟฟ้าลดลง ทำให้ขดลวดเย็นลง ก็จะมีผลโมเลกุลโลหะหดตัว ค่าความต้านทานลดลง กระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีก มีผลให้ค่าความร้อนสม่ำเสมออัตโนมัติ  ดังภาพที่ 2.1
                   


ก. ภาพหัวแร้งแช่                                       ข. โครงสร้างหัวแร้งแช่                              
         
          
ค. ที่วางหัวแร้งแช่




ภาพที่ 2.1 แสดงภาพหัวแร้งแช่ โครงสร้างหัวแร้งแช่ และที่วางหัวแร้งแช่
    1. หัวแร้งปืน มีหน้าที่ให้ความร้อนในการบัดกรีเหมือนหัวแร้งแช่ แต่มีข้อแตกต่างกันในลักษณะการใช้งานโครงสร้างภายในก็เหมือนหม้อแปลงไฟฟ้า   ใช้ง่ายสะดวกรวดเร็ว เวลาใช้กดไกรสวิตช์แช่เอาไว้ตามความต้องการความร้อน   เวลาไม่ใช้ให้ปล่อยไกรสวิตซ์จะประหยัดพลังงานไฟฟ้า   ปกติมีกำลังวัตต์ประมาณ 100 วัตต์ไม่ควรใช้บัดกรีงานเล็ก ๆ  เพราะปลายหัวแร้งใหญ่และให้ความร้อนมากเกินไปอาจทำให้อุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์   และLineวงจรเสียหาย
          
            

   

   (ก) ภาพหัวแร้งปืน                                               (ข) โครงสร้างหัวแร้งปืน

ภาพที่ 2.2 แสดงภาพและโครงสร้างหัวแร้งปืน
  1. ที่ดูดตะกั่ว
ที่ดูดตะกั่วเป็นเครื่องมือช่วยถอดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ออกจาก แผ่นวงจร ก่อนใช้งาน ให้ดันด้ามเข้าไปเพื่อไล่อากาศออก เวลาดูด การดูดต้องเร็ว ถ้าไม่ใช้ที่ดูดอาจใช้สายชีลด์ก็ได้





 

 

ภาพที่ 2.3 แสดงที่ดูดตะกั่ว




 ภาพที่ 2.4  สายชีลด์ดูดตะกั่ว
 
  1. ไขควง
              ไขควง (Screwdriver) เป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญเกี่ยวกับงานช่างไฟฟ้าและ อิเล็กทรอนิกส์ ทำหน้าที่ไขสกรูเพื่อยึดติดหรือเอาออกอุปกรณ์ต่างๆ ลักษณะของปากไขควงมีหลายแบบดังภาพต่อไปนี้





   ก) ไขควงแบน                                                    (ข)  หัวสกรูแบน
 

 

ภาพที่ 2.5 แสดงไขควงปากแบน และหัวสกรูแบน












ภาพที่ 2.6 แสดงไขควงปากแฉก
 










ภาพที่  2.7  แสดงไขควงบล็อกซ์  6  เหลี่ยม








ภาพที่  2.8  แสดงไขควงปากท็อกซ์


       

 

 

 

 

 

 

 

 

ภาพที่ 2.9 แสดงหัวสกรูแบบต่าง ๆ






ภาพที่ 2.10 แสดงไขควงชุดอย่างดี  (ดอกดำ)








ภาพที่ 2.11 ไขควงชุดเล็ก

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ภาพที่ 2.12 ไขควงพลาสติก จูนขดลวดเหนี่ยวนำ
เทคนิคการใช้ไขควง ปัญหาที่พบบ่อยๆได้แก่ ปากไขควง หัวสกรูว์ ชำรุดไม่สามารถขันเข้าออกได้ สาเหตุมาจากการใช้ไขควงไม่พอดีกับหัวสกรู และขาดเทคนิคการขัน เทคนิคการขันไขควงกับหัวสกรูมีดังนี้คือ
  1. เลือกใช้ไขควงให้ชนิดและขนาดพอดีกับหัวสกรู
  2. จับไขควงให้แน่น ดันไขควงเข้ากับหัวสกรูพร้อมกับออกแรงบิด กระชากออก เช่นเดียวกับหลักการทำงานของไขควงตอกที่ช่างซ่อมมอเตอร์ไซค์ใช้

 

 

 

 

 

 

 

ภาพที่ 2.13  แสดงการใช้ไขควงถูกชนิดและพอดีกับหัวสกรู

  1. คีม (Pliers)
          คีมเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญอีกชนิดหนึ่งที่ช่างอิเล็กทรอนิกส์และช่างไฟฟ้าใช้บ่อยไม่น้อยกว่าไขควง ชนิดของคีมแบ่งออกได้ดังนี้
    1. คีมตัด (Cutting pliers) เป็นคีมที่ทำหน้าที่ใช้ตัดสายไฟฟ้า และถ้าฟันมีรูก็จะสามารถปลอกสายไฟฟ้าได้ ดังภาพที่ 2.14 (ก)
    2. คีมจับหรือคีมปากยาว (Long nose pliers) เป็นคีมที่ทำหน้าที่หนีบ จับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นเล็กๆที่ไม่สามารถใช้มือจับได้ ดังภาพที่ 2.14 (ข)






( ก ) คีมตัด                           ( ข )คีมหนีบหรือคีมปากยาว

ภาพที่ 2.14 ภาพ (ก)แสดงภาพคีมตัด   และภาพ(ข)แสดงภาพคีมหนีบหรือคีมปากยาว
  1. เลื่อยจิกซอว์

เลื่อยจิกซอว์ เป็นเลื่อยฉลุไฟฟ้าสามารถตัดไม้ เหล็ก หรือ วัสดุอื่นเป็นรูปต่าง ๆ เช่น รูปทรงกลม ตัวหนังสือ เป็นต้น

 


  
 ภาพที่ 2.15 แสดงเลื่อยจิกซอว์   
  1. หินเจียร์มือ
              หินเจียร์มือเป็นเครื่องที่ช่าง ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ใช้เจียร์ กล่อง แท่นเครื่องของ ชุดฝึกประกอบวงจรอิเล็กทรอนิกส์ หรืออุปกรณ์อื่นๆ ดังภาพที่ 2.16  และ 2.17







ภาพที่ 2.16 แสดงหินเจียร์มือ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


ภาพที่ 2.17 เลื่อยจิกซอว์อเนกประสงค์
  1. สว่านไฟฟ้า
            สว่านไฟฟ้าเป็นเครื่องมือที่จำเป็นอีกชนิดหนึ่ง ที่ช่างไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ใช้เจาะเพื่อติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ปัจจุบันมีหลายแบบ ดังภาพต่อไปนี้












ภาพที่ 2.18  สว่านไฟฟ้าธรรมดาใช้ไฟฟ้า 220 Vac ใช้เจาะไม้เจาะเหล็ก แต่เจาะปูนไม่ได้

 






ภาพที่ 2.19  สว่านกระแทกเจาะปูนแบบธรรมดาต้องออกแรงกดมาก













ภาพที่ 2.20
สว่านไฟฟ้ากระแทกแบบโรตารี่เจาะปูนไม่ต้องออกแรงกดมากเหมือนสว่านกระแทกแบบธรรมดา 












ภาพที่ 2.21 สว่านกระแทกแบบโรตารี่ไร้สาย ใช้แบตเตอรี่

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ภาพที่ 2.22 สว่านไขควง ใช้ไขสกรู


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ภาพที่ 2.23 สว่านไขควงไร้สายใช้แบตเตอรี่


บทสรุป
หัวแร้งไฟฟ้าเป็นเครื่องมือใช้กับงานบัดกรีที่นิยมใช้ในงานไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ มี 2 ชนิดคือ  หัวแร้งปืนและหัวแร้งแช่ หัวแร้งปืนมีกำลังวัตต์ประมาณ  100 วัตต์  หัวแร้งแช่ มีกำลังวัตต์ไม่ เกิน 40 วัตต์
ที่ดูด เป็นเครื่องมือใช้สำหรับดูดตะกั่วเพื่อเอาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ออกจากแผ่น วงจร ถ้าไม่ใช้ที่ดูดตะกั่ว ก็สามารถใช้ สายชีลด์ดูดตะกั่วแทน
ไขควง เป็นเครื่องมือใช้สำหรับขันสกรูเข้าออก เทคนิคการขันให้ใช้ไขควงให้ถูกชนิดและพอดีกับหัวสกรู และจังหวะกดไขควงต้องออกแรงบิดไปพร้อมกัน
คีม เป็นเครื่องมือที่นิยมใช้ในงานไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มี 2  แบบได้แก่คีมตัด  และคีมหนีบหรือคีมปากยาวใช้สำหรับตัดสายไฟฟ้า หรือตัดขาอุปกรณ์
เลื่อยจิกซอว์ หรือเลื่อยฉลุ ใช้เลื่อยตัดไม้หรือโลหะเป็นรูปร่างต่างๆตามใจชอบ
สว่านไฟฟ้า เป็นเครื่องมือ เจาะเหล็ก ไม้ พลาสติก หรือใช้ขันสกรู สว่านไร้สายเป็นสว่านที่ใช้แบตเตอรี่

รีเลย์ (Relay)

รีเลย์ (Relay)
            รีเลย์เป็นอุปกรณ์ใช้สำหรับปิด – เปิด วงจรเช่นเดียวกับสวิตซ์ แต่การทำงานของรีเลย์ทำงานด้วยการให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านเข้าไปในขดลวดของรีเล ย์ ทำให้เกิดอำนาจแม่เหล็กดูด ขั้วโลหะของรีเลย์ติดหรือขาดออกจากกัน ทำให้วงจรต่อกันหรือขาดออกจากกันเหมือนการปิดเปิดวงจรด้วยสวิตซ์





ภาพที่ 10  แสดงรูปของรีเลย์
สัญลักษณ์ของรีเลย์
    

ชนิดปกติ
เปิดหน้าสัมผัส
ชนิดปกติ
ปิดหน้าสัมผัส
รีเลย์พร้อม
หน้าสัมผัส 1 ชุด
รีเลย์ 1 ชุด หน้าสัมผัส
มีทั้งเปิดและปิด

 

การนำรีเลย์ไปใช้งาน
            รีเลย์นิยมนำไปใช้งานในวงจรป้องกันวงจรตัดต่อไฟเข้าไป ในวงจร  และช่องทางการสนทนาในตู้โทรศัพท์ใช้เป็นอิเล็กทรอนิกส์สวิตซ์ การเลือกใช้รีเลย์ต้องคำนึงถึงค่าที่สำคัญ 3 ประการ คือ
                1.  อัตราทนกำลังไฟของหน้าสัมผัส เป็นตัวบอกถึงขนาดของโหลดสูงสุดที่จะต่อให้กับรีเลย์ ตัวอย่างเช่น รีเลย์ตัวหนึ่งมีขนาดแรงดันไฟ 12 โวลต์ กระแส 3 แอมแปร์ นั่นคือ โหลดที่นำมาต่อต้องใช้กระแสไฟไม่เกิน 3 แอมแปร์ ถ้าแรงดันที่จ่ายให้แก่โหลด 220 โวลต์ โหลดที่นำมาต่อต้องมีขนาดไม่เกิน 600 วัตต์
                2.  ความต้านทานของขดลวดรีเลย์ เป็นตัวบอกถึงความต้องการกระแสของรีเลย์ขณะทำงาน
                3.  แรงดันที่กระตุ้นให้รีเลย์ทำงาน เป็นค่าแรงดันสูงสุดที่ต้องป้อนให้กับขดลวดของรีเลย์
ตัวอย่างเช่น รีเลย์ 12 โวลต์ 3 แอมแปร์ ต้องต่อแรงดันไฟให้รีเลย์ 12 โวลต์ และไม่ต่ำกว่า 10 โวลต์ ถ้าป้อนแรงดันให้กับรีเลย์น้อยจะทำให้ขดลวดของรีเลย์ร้อน อาจทำให้อายุการใช้งานของรีเลย์สั้นลง ทางที่ดีควรป้องกันแรงดันให้ตรงตามที่กำหนดได้

3.  ฟิวส์ (Fuse)
            ฟิวส์เป็นตัวนำไฟฟ้าชนิดหนึ่ง ที่ใช้ในวงจรไฟฟ้าหรือวงจรอิเล็กทรอนิกส์  ฟิวส์มีหน้าที่ตัดวงจรไฟฟ้า  เมื่อมีกระแสไฟไหลเกินกำหนดเพื่อไม่ให้อุปกรณ์ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์เสียหาย ฟิวส์ที่ใช้ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์   มีรูปแบบและตัวถังหลายแบบฟิวส์นอกจากแบ่งตามตัวถังแล้วยังแบ่งตามคุณลักษณะ การใช้งานเป็น 2 ชนิด คือ
                      2.1  ฟิวส์ถ่วงเวลา ใช้ป้องกันกระแสไฟไหลอย่างรุนแรงขณะต่อสวิตซ์ ฟิวส์แบบนี้มีความไวต่อความร้อนมาก สามารถถ่วงเวลาได้ประมาณ 18 วินาที จากการปล่อยกระแสเริ่มแรกถึงกระแสไหลสูงสุด
                      2.2  ฟิวส์ทำงานอย่างรวดเร็ว ใช้ในวงจรที่มีกระแสไฟไหลปกติ ถ้ามีกระแสไฟไหลเกินค่าความสามารถในการทนกระแสไฟของฟิวส์ ฟิวส์ก็จะขาดหรือละลายทันภายในเวลา   1.4 วินาที





ภาพที่ 11  แสดงรูปฟิวส์และกระบอกฟิวส์
สัญลักษณ์ของฟิวส์


                                                                
การเลือกฟิวส์ใช้งาน
                การเลือกฟิวส์ใช้งานเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องคำนึงถึง โดยเลือกฟิวส์ใช้งานดังนี้
1.    ความสามารถในการทนกระแสและแรงดันไฟฟ้าต้องใช้ฟิวส์ที่มีความสามารถทนกระแส และแรงดันไฟฟ้าพอดีกับวงจรไฟฟ้ากำหนด ถ้าหาค่าทนกระแสและแรงดันไฟฟ้าไม่ได้  อาจใช้ค่าที่เกินกว่าปกติเล็กน้อย  เช่น มีค่าแรงดันไฟฟ้าในวงจร 125 โวลต์  
ให้ใช้ฟิวส์ได้ไม่เกิน 150 โวลต์   สำหรับค่าทนกระแสไฟให้ใช้ได้สูงกว่ากระแสในวงจร 25 เปอร์เซ็นต์
                2.  การทนกระแสไฟลัดวงจรของฟิวส์ ตามปกติค่าทนกระแสไฟลัดวงจรของฟิวส์จะกำหนดเป็นพันเท่าของกระแสไฟปกติ บางครั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ลัดวงจร จึงควรเลือกความสามารถในการทนกระแสลัดวงจรของฟิวส์ด้วย
                3.  คุณสมบัติของฟิวส์ เช่น อุณหภูมิ รูปร่าง ขนาดที่ยึดตัวฟิวส์ กระบอกฟิวส์ ต้องเลือกให้เหมาะสม
การทดสอบฟิวส์
                ฟิวส์เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในวงจรไฟฟ้าหรือวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ใช้ป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับวงจร ในกรณีที่มีการลัดวงจรเกิดขึ้นหรือมีกระแสไฟฟ้าไหลมาก เกินความสามารถของฟิวส์
                การทดสอบฟิวส์เพื่อต้องการรู้ว่าขดลวดตัวนำที่อยู่ภายในโครงสร้างของฟิวส์ ขาดหรือไม่  ทดสอบได้ด้วยมัลติมิเตอร์ ดังนี้
                1.  เตรียมมัลติมิเตอร์ในตำแหน่งวัดค่าความต้านทาน R X 1
                2.  สายสีดำเสียบขั้วเสียบ – COM สายสีแดงเสียบขั้วเสียบ +
                3.  นำสายทั้งสองของมัลติมิเตอร์วัดคร่อมขั้วทั้งสองของฟิวส์






ภาพที่ 12  แสดงการทดสอบฟิวส์
                4.  สังเกตเข็มของมัลติมิเตอร์ ดังนี้
                      4.1  ถ้าเข็มของมัลติมิเตอร์กระดิกขึ้น แสดงว่าฟิวส์ดี
                      4.2  ถ้าเข็มของมัลติมิเตอร์ไม่กระดิก แสดงว่าฟิวส์ขาด


บทสรุป
            สวิตซ์เป็นอุปกรณ์ใช้สำหรับปิด – เปิดวงจรไฟฟ้าหรือวาจรอิเล็กทรอนิกส์ สวิตซ์มีหลายรูปแบบการเลือกใช้สวิตซ์ต้องเลือกให้เหมาะสมกับงานหรือวงจร สิ่งสำคัญที่จะต้องคำนึงถึง คือ เลือกค่าทนกระแสและแรงดันไฟฟ้า
            รีเลย์ เป็นอุปกรณ์ใช้ปิด – เปิดวงจรเช่นเดียวกับสวิตซ์ แต่รีเลย์จะทำการปิด – เปิดวงจรได้ ต้องให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวดของรีเลย์   ทำให้เกิดอำนาจแม่เหล็กดูดขั้วโลหะของรีเลย์ติดหรือขาดออกจากกัน เหมือนกับการปิด – เปิดวงจรด้วยสวิตซ์ การเลือกรีเลย์ใช้งานต้องคำนึงถึง
                1.  อัตราทนกำลังไฟของหน้าสัมผัสของรีเลย์
                2.  ความต้านทานของขดลวดรีเลย์เป็นตัวบอกถึงความต้องการกระแสไฟของรีเลย์ขณะทำงาน
                3.  แรงดันที่กระตุ้นให้รีเลย์ทำงาน
                ฟิวส์ทำหน้าที่ตัดวงจรไฟฟ้า เมื่อมีกระแสไฟฟ้าเกินกำหนด ฟิวส์ที่ใช้ในงานอิเล็กทรอนิกส์มีหลายรูปแบบ

            การเลือกฟิวส์ใช้งานต้องเลือก ดังนี้
                1.  ความสามารถในการทนกระแสและแรงดันไฟฟ้า
                2.  การทนกระแสลัดวงจรของฟิวส์
                3.  คุณสมบัติของฟิวส์ เช่น อุณหภูมิ รูปร่าง ขนาดยึดตัวฟิวส์ กระบอกฟิวส์

สวิตซ์ (Switch)

สวิตซ์ (Switch)
      สวิตซ์เป็นอุปกรณ์ใช้ปิด – เปิด วงจรไฟฟ้าและวงจรอิเล็กทรอนิกส์ สวิตซ์จะทำหน้าที่ควบคุมการไหลของกระแสไฟฟ้าภายในวงจร สวิตซ์มีหลายรูปแบบ การเลือกใช้สวิตซ์ต้องเลือกค่าทนกระแสและแรงดันไฟให้เหมาะสมกับงานหรือวงจร ในงานอิเล็กทรอนิกส์มีหลายรูปแบบ พอสรุปได้ดังนี้

1.1  สวิตซ์โยก (Toggle Switch) สวิตซ์โยก คือ สวิตซ์ที่ใช้ปิดเปิดวงจรด้วยการโยกขึ้น-ลง มีตั้งแต่ 2 ขา ถึง 6 ขา แบ่งตามลักษณะและโครงสร้างได้ดังนี้
                              1.1.1  สวิตซ์ทางเดียว ขั้วเดียว (Single Pole Single Throw) สวิตซ์แบบนี้เรียกย่อว่า SPST ปกติมี 2 ขา ใช้ทำหน้าที่ปิดเปิดวงจร
                              1.1.2  สวิตซ์ทางเดียว 2 ขั้ว (Double Pole Single Throw) สวิตซ์แบบนี้เรียกย่อว่า DPST มีขาใช้งาน 4 ขา ใช้ทำหน้าที่เปิด – ปิด วงจรได้ 2 ชุดพร้อมกัน
                              1.1.3  สวิตซ์ 2 ทาง ขั้วเดียว (Single Pole Double Throw) สวิตซ์แบบนี้เรียกย่อว่า SPDT มีขาใช้งาน 2 ขา ใช้ทำหน้าที่เปิด – ปิดวงจร การใช้ขา 2 ขาหรือจะใช้เป็นสวิตซ์เลือก 2 ทาง
ก็ได้
1.1.4      สวิตซ์ 2 ทาง 2 ขั้ว (Double Pole Double Throw) สวิตซ์แบบนี้เรียกว่า DPDT มีขาใช้งาน 6 ขา ใช้ทำหน้าที่ปิด – เปิดวงจร 2 ชุดพร้อมกัน โดยใช้ขา 4 ขา และสามารถใช้แทนสวิตซ์แบบทางเดียว 2 ขั้วได้ด้วย




ภาพที่ 1  แสดงรูปสวิตซ์โยกแบบต่าง ๆ

1.2  สวิตซ์กระดก (Rocker Switch) สวิตซ์แบบกระดกหรือเรียกว่า ล็อกเกอร์สวิตซ์ เป็นสวิตซ์ขนาดใหญ่ใช้เปิด – ปิด วงจร บางแบบมีหลอดไฟในตัวบางแบบไม่มีหลอดไฟ



ภาพที่ 2  แสดงรูปสวิตซ์แบบกระดก

1.3  สวิตซ์หมุน (Rotary Switch) เป็นสวิตซ์เลือกหลายทาง นิยมเรียกว่า สวิตซ์เลือก (Selector Switch) มากกว่าสวิตซ์หมุน แบบที่มีใช้ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ คือ
                              1.3.1  แบบ 12 ทาง 1 ชุด แบบนี้หมุนได้ 11 จังหวะ มีขาต่อใช้งาน 13 ขา ขากลางจะเป็นขาร่วม
                              1.3.2  แบบ 6 ทาง 2 ชุด แบบนี้หมุนได้ 5 จังหวะ มีขาร่วม 2 ขาแยก ออกจากกันแต่เลือกได้พร้อมกัน
                              1.3.3  แบบ 4 ทาง 3 ชุด แบบนี้หมุนได้ 3 จังหวะ มีขาร่วม 3 ขาแยก ออกจากกันมีลักษณะเหมือนมีสวิตซ์ 4 ทาง 3 ตัวบนแกนเดียวกัน
                              1.3.4  แบบ 3 ทาง 4 ชุด แบบนี้หมุนได้ 2 จังหวะ มีขาร่วม 4 ขาแยก ออกจากกัน มีลักษณะเหมือนมีสวิตซ์ 3 ทาง 4 ตัวบนแกนเดียวกัน




 ภาพที่ 3 แสดงที่ 3  แสดงรูปสวิตซ์หมุน หรือ สวิตซ์เลือก
ภาพสวิตซ์เลื่อย (Side Switch ) สวิตซ์จะมีลักษณ์เหมือนสวิตซ์โยก แต่ไม่มีแกนเหมือนสวิตซ์โยก  ใช้ทำหน้าที่ปิด-เปิด  วงจรเหมือนสวิตซ์โยก

 

 ภาพที่  4  แสดงรูปสวิตซ์เลื่อน

    1. สวิตซ์กด (PUSH  SWITCH) สวิตซ์กดเวลาใช้งานจะต้องกดปุ่มหรือแกนที่ยื่นออกมาจากตัวสวิตซ์  ลักษณะการกดมีหลายลักษณะคือ
1.5.1    แบบกดติดปล่อยดับ สวิตซ์แบบนี้ถ้าไม่กดจะไม่ต่อวงจรนั้น คือ วงจรเปิด เมื่อกดปุ่ม หรือแกนจะทำให้วงจรปิด (ต่อวงจร)
1.5.2    แบบกดดับปล่อยติด จะมีลักษณะการใช้งานตรงกันข้ามกับแบบกดติดปล่อยดับ นั่นคือ ถ้ากดปุ่มหรือแกนจะต่อวงจร ถ้าปล่อยจะตัดวงจร
1.5.3    แบบกดติดกดดับ สวิตซ์แบบนี้จะล็อกหน้าสัมผัสได้ ครั้งแรกถ้าสวิตซ์ไม่ต่อวงจร  ถ้ากดปุ่มสวิตซ์จะต่อวงจร เมื่อปล่อยสวิตซ์ยังคงต่ออยู่ ต้องกดสวิตซ์ซ้ำอีกจึงจะทำให้วงจรเปิด สวิตซ์แบบนี้นิยมใช้เป็นสวิตซ์เปิดปิดแรงดันไม่ให้เข้าไปเลี้ยงวงจร
1.5.4    แบบกดหลายทาง เป็นสวิตซ์แบบกดติดปล่อยดับหลายตัว ต่อร่วมอยู่บนแกนเดียวกัน โดยมีกลไก ล็อกสวิตซ์แต่ละตัวเข้าด้วยกัน เพื่อนำมาใช้เป็นสวิตซ์เลือกหลายทางเมื่อกดสวิตซ์ตัวหนึ่ง ตัวที่เหลือจะหลุดออกมา สวิตซ์แบบนี้นิยมใช้เป็นสวิตซ์เลือกสัญญาณ ทางเข้าออกเครื่องขยายเสียง ทำเป็นสวิตซ์เลือกย่านวัดในเครื่องมือทดสอบ
1.5.5    แบบสวิตซ์เท้า เป็นสวิตซ์กดแบบหนึ่ง ที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับแรงกดมาก ๆ เช่น ใช้เท้าเหยียบ นิยมนำไปใช้เครื่องทำเสียงแตก เครื่องสร้างเสียงเอฟเฟลกของกีตาร์ไฟฟ้ามีแบบกดล็อก และแบบกดติดปล่อยดับ





ภาพที่ 5  แสดงรูปสวิตซ์กดแบบต่าง

            1.6  คีย์แพด (Keypad) คีย์แพดเป็นสวิตซ์ที่ต่ออยู่ในรูปเมตริกซ์   ตัวคีย์แพดจะประกอบด้วยหน้าสัมผัส   แผ่นลาเบล   ปิดชื่อคีย์  และสายต่อ นิยมใช้ในเครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องคิดเลข หรือเครื่องควบคุมอัตโนมัติ
แบบ 12 คีย์                         แบบ 11 คีย์                     แบบ 6 คีย์                   แบบ 1 คีย์
         






ภาพที่ 6  แสดงรูปคีย์แพด
            1.7  ไมโครสวิตซ์ (Micro Switch) ไมโครสวิตซ์เป็นสวิตซ์ที่มีความไวต่อการกดโดยมีแกนยื่นสำหรับให้กด เมื่อกดแกนแล้วแกนนี้จะไปกดหน้าสัมผัสของสวิตซ์อีกที่หนึ่งนิยมใช้ในเครื่อง เล่นเทป เครื่องมือระบบอัตโนมัติ และใช้ในระบบรักษาความปลอดภัย เครื่องกันขโมย








ภาพที่ 7  แสดงรูปไมโครสวิตซ์
            1.8  ดีพสวิตซ์ (Dip Switch) ดีพสวิตซ์เป็นสวิตซ์แบบทางเดียวขั้วเดียว มีหลายตัวอยู่บนตัวเดียวกัน มีขนาดเท่ากับไอซีตัวถัง Dip มีให้เลือกตั้งแต่ 2 จุดถึง 12 จุด







ภาพที่ 8  รูปแสดงรูปดีพสวิตซ์
สัญลักษณ์ของสวิตซ์







การเลือกสวิตซ์ใช้งาน
            สวิตซ์แต่ละแบบถูกออกแบบและสร้างเพื่อให้เหมาะสมกับ งานที่จะใช้ นอกจากการออกแบบแล้ว ผู้ผลิตยังบอกคุณลักษณะการทนกระแสไฟฟ้าและแรงดันไฟฟ้าไว้ด้วย ดังนั้นการเลือกใช้สวิตซ์ต้องเลือกค่าทนกระแสและแรงดันไฟที่เหมาะสมกับงาน หรือวงจร
การทดสอบสวิตซ์
            สวิตซ์เป็นอุปกรณ์เปิด – ปิดวงจรไฟฟ้าและวงจรอิเล็กทรอนิกส์ สวิตซ์ทำหน้าที่ควบคุมการไหลของกระแสไฟในวงจร สวิตซ์มีหลายรูปแบบตามลักษณะการใช้งาน
การทดสอบสวิตซ์สามารถทดสอบได้ 2 วิธี ทดสอบขณะสวิตซ์ไม่ถูกใช้งานหรือถอดสวิตซ์ออกจากวงจรมาทดสอบ และทดสอบขณะสวิตซ์ทำงาน ในที่นี้จะกล่าวถึงการทดสอบสวิตซ์ไม่ถูกใช้งานด้วยมัลติมิเตอร์ดังนี้
                1.  เตรียมมัลติมิเตอร์ในตำแหน่ง x10
                2.  สายสีดำเสียบขั้วเสียบ – COM สายสีแดงเสียบขั้วเสียบ +
                3.  นำสายทั้งสองของมัลติมิเตอร์ ต่อคร่อมหรือขนานกับขั้วต่อของสวิตซ์







ภาพที่ 9 แสดงการทดสอบสวิตซ์
             4.  ทดลองเปิด – ปิดสวิตซ์ตามแบบของสวิตซ์ สังเกตเข็มของมัลติมิเตอร์ ดังนี้
            4.1  ถ้าเข็มของมิเตอร์กระดิกขึ้น – ลง ตามจังหวะการเปิด – ปิดของสวิตซ์ แสดงว่าสวิตซ์นำไปใช้เปิด – ปิดวงจรไฟฟ้าหรือวงจรอิเล็กทรอนิกส์ได้
            4.2  ถ้าเข็มของมิเตอร์ไม่กระดิกตามจังหวะการเปิด – ปิด แสดงว่าสวิตซ์เสียในลักษณะขาด
            4.3  ถ้าเข็มของมิเตอร์กระดิกขึ้นตลอดเวลาที่ปิดหรือเปิด แสดงว่าสวิตซ์เสียในลักษณะลัดวงจร